บทพินิจจากสตูดิโอจิบลิเกี่ยวกับการสูญเสีย การเวียนว่ายตายเกิด และสัจธรรมภายใน
The Boy and the Heron (พวกเธอใช้ชีวิตอย่างไร?) คือการกลับมาอย่างเปี่ยมด้วยความงดงามและความหม่นหมองของปรมาจารย์นักเล่าเรื่อง ฮายาโอะ มิยาซากิ แห่งสตูดิโอจิบลิ แม้จะสะท้อนความงดงามทางภาพและการเล่าเรื่องแบบเหมือนความฝันที่เห็นได้ในผลงานคลาสสิกก่อนหน้านี้ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กล้าที่จะก้าวไปสู่แดนใหม่ทางแนวคิด—ด้วยการสำรวจความโศกเศร้า การเวียนว่ายตายเกิด และการเดินทางอันเจ็บปวดสู่การยอมรับสัจธรรมของความไม่จีรัง
การเปลี่ยนผ่านจากความไร้เดียงสาสู่การพินิจภายใน
ผลงานก่อนหน้านี้ของจิบลิอย่าง Spirited Away (มิติวิญญาณมหัศจรรย์), My Neighbor Totoro (โทโทโร่เพื่อนรัก) และ Kiki’s Delivery Service (แม่มดน้อยกิกิ) ล้วนสะท้อนความมหัศจรรย์และการมองโลกในแง่ดีตามวัยเยาว์ แต่ The Boy and the Heron กลับดำเนินเรื่องในโลกที่มืดมนและหันเข้าสู่การพินิจภายในมากกว่า ซึ่งใกล้เคียงกับผลงานอย่าง The Wind Rises (ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก) และ Grave of the Fireflies (สุสานหิ่งห้อย) ที่กล่าวถึงการสูญเสียและภาระทางการดำรงอยู่ แต่ในเรื่องนี้ มิยาซากิได้ก้าวล้ำไปสู่สัญลักษณ์ที่เป็นนามธรรมยิ่งกว่า
มาฮิโตะ ตัวเอกวัยเยาว์ของเรื่อง สูญเสียแม่ของเขาและถูกย้ายไปอยู่ชนบทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากติดตามนกกระสาที่พูดได้ เขาได้เดินทางลงไปในหอคอยอันแสนประหลาด เข้าสู่โลกแห่งความฝันที่เต็มไปด้วยเสียงสะท้อนของบรรพบุรุษ เงาแห่งกรรม และสถาปัตยกรรมที่เหนือจริง นี่ไม่ใช่การผจญภัยแบบวีรบุรุษ แต่เป็นพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่านทางจิตวิทยา
นกกระสาในวัฒนธรรมและความเชื่อญี่ปุ่น
นกกระสามิใช่เพียงอุปกรณ์ในการเล่าเรื่อง แต่เป็นกุญแจเชิงสัญลักษณ์ที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ในประเพณีชินโต สัตว์อย่างนกกระสาถือเป็นผู้สื่อสารศักดิ์สิทธิ์ของ kami – คามิ (เทพเจ้าหรือวิญญาณ) พวกมันทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกทางกายภาพและมิติทางจิตวิญญาณ นกกระสายังเป็นที่รู้จักจากการเคลื่อนไหวอย่างสง่างามผ่านน้ำและท้องฟ้า บ่งบอกถึงการเป็นสิ่งมีชีวิตในสภาวะกึ่งกลางที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระหว่างพื้นดินและท้องฟ้า
ใน The Boy and the Heron รูปลักษณ์ลูกผสมที่ชวนให้รู้สึกไม่น่าไว้วางใจของนกกระสา (ครึ่งนกครึ่งมนุษย์) ยังเป็นการให้เข้าใจกับประเพณีญี่ปุ่น yōkai -โยไค วิญญาณที่เปลี่ยนรูปร่างได้ซึ่งท้าทายความเข้าใจของมนุษย์ มันสะท้อนถึงความโกลาหลของความโศกเศร้าและธรรมชาติที่ทำให้เสียการวางตัวเมื่อต้องเผชิญเรื่องของความตาย
นกกระสาในฐานะผู้นำวิญญาณ
“ไซโคพอมพ์(psychopomp) คือผู้นำทางวิญญาณ ที่พาดวงวิญญาณจากโลกของผู้มีชีวิตไปสู่อาณาจักรแห่งวิญญาณ”
ในประเพณีพุทธศาสนาของญี่ปุ่น นกต่างๆ เช่น นกกระสาและนกกระเรียนมักทำหน้าที่เป็นไซโคพอมพ์ สิ่งมีชีวิตที่นำทางดวงวิญญาณในการเดินทางจากชีวิตสู่ความตายและสู่ภพภูมิต่อไป บทบาทนี้คล้ายคลึงกับตัวละครในตำนานอย่างเฮอร์มีสในเรื่องเล่าของกรีก หรือคนพายเรือแม่น้ำซันซุในความเชื่อของญี่ปุ่น (คล้ายกับคนพายเรือข้ามแม่น้ำสติกซ์)
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ นกกระสานำพามาฮิโตะเข้าไปในหอคอย อาณาจักรเชิงอุปมาอุปไมยของเสียงสะท้อนแห่งกรรม ความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ นกกระสาทดสอบเขา เยาะเย้ยเขา และนำทางเขาผ่านมิติที่เหนือจริง แม้มันไม่ได้มอบความสบายใจให้ แต่เอื้ออำนวยให้เกิดการเติบโต ในฐานะไซโคพอมพ์ นกกระสาช่วยให้มาฮิโตะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด: การสูญเสียที่เขาไม่อาจแก้ไขได้ และความจริงที่เขาไม่อาจหลีกหนี
สัญลักษณ์ของการเวียนว่ายตายเกิดและความไม่จีรัง
หอคอยทำหน้าที่เป็นอุปมาทั้งทางภาพและทางแนวคิดของสังสารวัฏ วงจรของการเกิด การตาย และการเกิดใหม่ในจักรวาลวิทยาแบบพุทธ แต่ละระดับหรือพื้นที่ภายในหอคอยสะท้อนถึงการพัวพันทางกรรมของมาฮิโตะ: แม่ที่สูญเสียไป อนาคตที่จินตนาการไว้ และความทรงจำทางอารมณ์ที่เขาต้องเผชิญหน้า
นี่คือจุดที่ภาพยนตร์โอบรับสุนทรียภาพญี่ปุ่นของ มุโจ (無常) ความไม่จีรังของสรรพสิ่ง เรื่องราวไม่ได้มอบความสมบูรณ์หรือการไถ่บาป แต่มอบการยอมรับ มาฮิโตะถูกล่อลวงด้วยพลังในการสร้างโลกขึ้นใหม่ที่ทำให้สามารถพบแม่ตัวเองในอดีตที่เคยหายตัวไปในหอคอยเช่นกัน แม้พยายามแจ้งเตือนอนาคตที่เกิดขึ้นกับแม่ แต่ในท้ายที่สุดแม่ของมาฮิโตะก็ปฏิเสธและตัวเค้าก็ยอมรับมันเช่นกัน การตัดสินใจของเขาที่จะไม่ยึดติดกับการควบคุมคือการปลดปล่อยของเขา หรืออีกนัยยะก็คือการเลือกที่จะลืมแล้วก้าวข้ามผ่านมันไป
บทสวดส่งวิญญาณ(Requiem)และบทเรียน
เมื่อมาฮิโตะกลับสู่โลกแห่งความจริง เขาไม่ได้มาอย่างผู้พิชิต แต่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง หอคอยยังคงอยู่ แต่เขาปล่อยวางภาพลวงตาของมัน นกกระสาหายไป หน้าที่ของมันสำเร็จแล้ว สิ่งที่ยังคงอยู่คือปัญญาอันเงียบงัน: ความกล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แม้ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความโศกเศร้า
The Boy and the Heron เป็นผลงานที่เป็นนามธรรม เป็นผู้ใหญ่ และมีความทะเยอทะยานทางจิตวิญญาณมากที่สุดของมิยาซากิ มันเรียกร้องความอดทนและการไตร่ตรอง มันแลกการอลังการด้วยสัญลักษณ์ และในการทำเช่นนั้น มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความตายหรือความโศกเศร้าเท่านั้น แต่เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับวิธีการมีชีวิตอยู่
“เรื่องนี้เรียกร้องให้ผู้ชมยอมรับธรรมชาติอันไม่จีรังของชีวิต ความไร้ประโยชน์ของความพยายามควบคุมชะตากรรม และความงดงามของการอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างเพียงพอ”
ในฐานะที่อาจเป็นถ้อยแถลงสุดท้ายจากตำนานแห่งวงการภาพยนตร์ มันไม่ได้โศกเศร้ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่มอบความอ่อนโยนอย่างสง่างาม และมันยังคอยถามว่า: “เรายังจะกลายเป็นอะไรได้อีก?”
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ