Skip to content

[รีวิว] Se7en : เจ็ดข้อต้องฆ่า (1995) | การดำดิ่งสู่ความมืดของบาปและจิตวิญญาณมนุษย์

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

Se7en ยังคงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ระทึกขวัญที่น่าหวาดหวั่นและถูกสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันที่สุดในยุคของมัน เป็นผลงานที่ผสมผสานวิสัยทัศน์อันแน่วแน่เข้ากับโครงสร้างการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือทางศีลธรรมและความหวาดกลัวต่อการดำรงอยู่ ด้วยฉากหลังเป็นเมืองที่มืดมนและชุ่มฝน ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่สำรวจบาปเจ็ดประการในฐานะความชั่วร้ายที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการฆาตกรรมที่วางแผนอย่างละเอียดอ่อน ซึ่งบังคับให้ทั้งตัวละครและผู้ชมต้องเผชิญหน้ากับความมืดมนที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์

บาปเจ็ดประการ: กรอบแห่งความชั่วร้าย

แก่นแท้ของ Se7en คือเรื่องราวเชิงศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้าย โดยแต่ละคดีฆาตกรรมในเรื่องเป็นภาพที่น่าสยดสยองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบาปเจ็ดประการ ได้แก่

  • ความตะกละ (Gluttony): ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยฉากที่น่ารังเกียจแต่น่าจดจำ เมื่อชายคนหนึ่งถูกบังคับให้บริโภคอาหารหรือสิ่งของอย่างเกินขีดจำกัดจนร่างกายทรยศต่อเขา เป็นการเตือนใจอันโหดร้ายถึงผลร้ายจากการกระทำที่เกินพอดี
  • ความโลภ (Greed): เหยื่อถูกลงโทษด้วยความละโมบ ชะตากรรมของเขาเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาในทรัพย์สินที่ไม่มีวันพอ ซึ่งสามารถทำลายล้างชีวิตได้
  • ความเกียจคร้าน (Sloth): การฆาตกรรมหนึ่งถูกออกแบบมาเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมและการละเลย ชีวิตที่ถูกปล่อยให้สูญเปล่าและทรมานอย่างยืดเยื้อ สะท้อนถึงความเฉื่อยชาและการไม่แยแสในสังคม
  • ราคะ (Lust): การนำเสนอความปรารถนาทางเพศถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเครื่องมือในการลงโทษ ความวิปริตของมันเป็นบทวิจารณ์ชัดเจนต่อการเอารัดเอาเปรียบที่แฝงอยู่ในบาป
  • ความหยิ่ง (Pride): เหยื่อถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับความหลงตัวเองและความสำคัญในตนเองในรูปแบบที่ทำให้เขาแตกสลายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ท้าทายแนวคิดเรื่องศักดิ์ศรีส่วนบุคคล
  • ความริษยา (Envy): ซึ่งอาจเป็นบาปที่ซับซ้อนทางจิตวิทยาที่สุด ไม่เพียงแต่ปรากฏในอาชญากรรมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนในแรงจูงใจส่วนตัวของฆาตกร และจบลงด้วยการเปิดเผยที่น่าตกใจ
  • ความโกรธ (Wrath): จุดสูงสุดของภาพยนตร์ที่บังคับให้เกิดการเผชิญหน้ากับบาปขั้นสุดท้าย เมื่อการแก้แค้นส่วนตัวและความกระหายในลงโทษนำไปสู่บทสรุปอันโศกนาฏกรรมในตอนจบ

การจัดวางโครงสร้างของบาปเหล่านี้อย่างพิถีพิถันไม่เพียงแต่เป็นพิมพ์เขียวอันน่าสยดสยองสำหรับการกระทำของฆาตกรเท่านั้น แต่ยังเปิดประเด็นคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรมและธรรมชาติของการลงโทษ แต่ละคดีฆาตกรรมในเรื่องไม่ใช่เพียงแค่การแสดงที่คำนวณอย่างรอบคอบเท่านั้น แต่ยังเป็นการวิจารณ์เชิงสัญลักษณ์ต่อความล้มเหลวที่ซ่อนเร้นในสังคม

ตัวละครที่ถูกพันธนาการด้วยศีลธรรม

นักสืบวิลเลียม ซอเมอเซ็ต (รับบทโดย Morgan Freeman) เป็นนักสืบผู้มีประสบการณ์อันยาวนานและแฝงไปด้วยความรอบคอบ ในขณะที่นักสืบเดวิด มิลส์ (รับบทโดย Brad Pitt) เป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและเต็มไปด้วยอารมณ์ ความละเอียดและความช่างสงสัยของซอเมอเซ็ตจึงทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงดุลให้กับความดุดันและความรุนแรงในการไล่ล่าความยุติธรรมของมิลส์ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นจุดยึดทางอารมณ์ของภาพยนตร์—ชายสองคนในช่วงชีวิตที่แตกต่างกันต่างดิ้นรนกับเข็มทิศทางศีลธรรมของตนในโลกที่ดูเหมือนไม่แยแสต่อโชคชะตา

จุดพลิกผันที่น่าทึ่งของเรื่องราว

หนึ่งในจุดพลิกผันที่น่าตื่นตาตื่นใจเกิดจากการคำนวณอย่างแม่นยำของจอห์น โด (รับบทโดย Kevin Spacey) ผู้ซึ่งนำเสนอปรัชญาอันคมคายเกี่ยวกับธรรมชาติของบาปและความเสื่อมทรามในสังคม ด้วยความสงบที่แฝงไปด้วยความน่าหวั่นไหว คำพูดของเขาทำให้เส้นแบ่งระหว่างอาชญากรรมและการค้นหาปรัชญาดูพร่าเลือน การเปิดเผยสุดท้ายที่น่าตกใจของเขาบังคับให้ทั้งผู้ชมและมิลส์ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าต้นทุนของการแก้แค้นนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

โดยถ้าใครยังไม่เคยดูในยุคนั้นจะเซอร์ไพรซ์มากที่ฆาตกรแสดงโดยเควิน สเปซี่ ที่กว่าเราจะได้เห็นหน้าฆาตรกรก็ช่วงท้ายๆ ของหนังแล้ว เพราะรายชื่อหนังแสดงในตอนเริ่มต้นไม่ปรากฏชื่อเขาอยู่

วิธีการสืบสวนในยุคก่อนดิจิทัล

สิ่งที่น่าหลงใหลเป็นพิเศษใน Se7en คือการนำเสนอวิธีการสืบสวนในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีดิจิทัลและการเฝ้าระวังอย่างแพร่หลาย ในฉากที่น่าจดจำหนึ่งในนั้น นักสืบซอเมอเซ็ตออกนอกกรอบระเบียบปฏิบัติ โดยใช้ช่องทางนอกระบบและแม้กระทั่งการติดสินบนเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญจากคลังข้อมูลในห้องสมุดที่จำกัดการเข้าถึง ซึ่งข้อมูลนั้นก็คือการรวบรวมหนังสือที่ต้องสงสัยผูกโยงกับสมาชิกที่นำไปอ่าน สะท้อนให้เห็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลนำไปการวิเคราะห์คล้ายๆ สิ่งที่ Social Media เอาข้อมูลเราไปวิเคราะห์แล้วนำเสนอออกมาเป็นโฆษณานั่นแหละครับ แต่อย่าลืมนั่นในปี 1995 กว่าเราๆ จะได้มาสัมผัสพวกโฆษณาบนเฟซบุคจริงจังหรือหวงแหนข้อมูลส่วนบุคคลก็ยุค 2010s นั่นเลย

กลับมาที่การตัดสินใจของซอมอเซ็ตที่ดูค่อนข้างสิ้นหวังและยังรู้สึกคลุมเครือทางจริยธรรมนี้ เน้นย้ำถึงความตึงเครียดหลักของภาพยนตร์ การปะทะระหว่างขั้นตอนทางองค์กรกับความมุ่งมั่นในการค้นหาความจริง ในยุคที่ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการวิเคราะห์ข้อมูลกำลังเป็นที่ถกเถียง การกระทำของซอเมอเซ็ตจึงดูเหมือนจะทั้งล้าสมัย(ติดสินบน)และล้ำสมัย(ใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต)ในเวลาเดียวกัน เป็นการเตือนใจว่าแม้เทคโนโลยีการสืบสวนจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน ความลำบากใจทางศีลธรรมในการแสวงหาความยุติธรรมก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันล้าสมัย

จุดไคลแมกซ์ที่สะเทือนใจและไม่มีวันลืม

โดยไม่เปิดเผยรายละเอียดที่หฤหรรษ์ทั้งหมดสำหรับผู้ที่อาจดู Se7en ครั้งแรก ไม่มีคำใดจะบรรยายผลกระทบของฉากไคลแมกซ์ได้อย่างสมบูรณ์ กลยุทธ์สุดท้ายของจอห์น โดและการแสดงฉากสุดท้ายที่วางแผนอย่างพิถีพิถันได้ผลักดันให้มิลส์ต้องเผชิญกับทางเลือกทางศีลธรรมที่ทรมานใจ ทำลายแบบแผนของภาพยนตร์ระทึกขวัญทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ในจุดพลิกผันอันปวดร้าวนี้ จอห์นได้วางแผนเหตุการณ์ที่เปลี่ยนมิลส์ให้กลายเป็นเครื่องมือแห่งการแก้แค้นโดยไม่เต็มใจ จนถึงจุดไคลแมกซ์ที่ต้นทุนของความยุติธรรมถูกเปิดเผยออกมาอย่างน่าสะพรึง กลับกัน บทสรุปนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสะเทือนใจ แต่ยังท้าทายให้ผู้ชมตั้งคำถามต่อแก่นแท้ของการแก้แค้นและราคาที่ต้องจ่ายเมื่อก้าวข้ามเส้นบางๆ ระหว่างความยุติธรรมกับการล้างแค้น

บทส่งท้าย

Se7en เป็นบทเรียนชั้นเยี่ยมในด้านการสร้างความระทึก ข้อคิดในการเล่าเรื่อง และความลึกซึ้งของแก่นเรื่อง โดยการสำรวจบาปเจ็ดประการได้สร้างกรอบเชิงสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าที่ยกระดับหนังระทึกขวัญอาชญากรรมทั่วไปให้เหนือชั้น การกำกับของเดวิด ฟินเชอร์ ผสมผสานกับการแสดงที่ทรงพลังจากมอร์แกน ฟรีแมน, แบรด พิทท์ และเควิน สเปซี่ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถกระตุ้นความคิดได้เท่าที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชม สำหรับคนรักหนังและผู้ชื่นชอบการเล่าเรื่อง Se7en ยังเปิดเผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างศีลธรรม ความหมกมุ่น และสภาวะของมนุษย์ ที่ลึกซึ้งและหลอกหลอนเรา แม้แต่ในช่วงท้ายสุดของเครดิตภาพยนตร์ก็ตาม

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole