ภาพยนตร์เรื่อง Perfect Days หรือ หยุดโลกเหงาไว้ตรงนี้ ภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่นแต่กำกับโดยสัญชาติเยอรมัน Wim Wenders ที่เคยฝากผลงานเด่นๆ ไว้อย่างเรื่อง Paris, Texas (1984) ที่ถ่ายทอดเรื่องราวแบบวนซ้ำๆ ของ “ฮิระยามะ” ชายสูงวัยผู้ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำในโตเกียว ผ่านชีวิตเรียบง่ายที่ซ่อนความลึกซึ้งทางจิตวิทยาไว้ภายใต้กิจวัตรประจำวัน บทความนี้จะวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียการใช้ชีวิตแบบ “ฮิระยามะ” พร้อมข้อคิดเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในโลกสมัยใหม่
จิตวิทยาของฮิระยามะ: การค้นหาความหมายในความเรียบง่าย
ข้อดี: การฝึกตนใน “ปัจจุบันขณะ” และความยืดหยุ่นทางจิตใจ
1. สภาวะ Flow และการมีสติ (Mindfulness)
ฮิระยามะดำรงชีวิตด้วยการให้ความสำคัญกับปัจจุบัน เขาทำงานทำความสะอาดห้องน้ำอย่างพิถีพิถัน ฟังเพลงเก่าๆ ในรถตู้ และถ่ายภาพแสงแดดที่ลอดผ่านใบไม้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนแนวคิด “Flow” ของ Mihaly Csikszentmihalyi ที่บุคคลเข้าสู่สภาวะจดจ่อกับงานจนลืมเวลา การกระทำเหล่านี้ไม่ใช่แค่กิจวัตร แต่เป็นพิธีกรรมที่ช่วยให้เขารักษาสมดุลทางอารมณ์
2. ความพอใจในสิ่งเล็กน้อย (Wabi-Sabi)
วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้คุณค่ากับความไม่สมบูรณ์แบบและความเรียบง่าย ซึ่งฮิระยามะเป็นตัวแทนของแนวคิดนี้อย่างชัดเจน เขาไม่มองว่าการทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดเป็นอาชีพที่ต่ำ แต่กลับภูมิใจในหน้าที่ของตน สิ่งนี้สัมพันธ์กับทฤษฎีการรับรู้คุณค่าในตนเอง (Self-Worth) ที่ไม่ผูกติดกับสถานะทางสังคม
3. การฟื้นตัวทางจิตใจ (Resilience)
แม้จะเผชิญกับชีวิตที่หลายคนมองว่าหม่นหมอง แต่ฮิระยามะไม่แสดงความทุกข์ เขามีกลไก coping mechanism ที่แข็งแรง เช่น การอ่านหนังสือและการอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้เขารับมือกับความเหงาโดยไม่หลีกหนีความจริง
ข้อเสีย: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบ
1. การหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ (Social Withdrawal)
ฮิระยามะเลือกใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แม้จะมีการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือหลานสาวเป็นครั้งคราว แต่ปฏิสัมพันธ์ของเขายังอยู่ในวงจำกัด อาจสะท้อนความกลัวการถูกทอดทิ้งหรือบาดแผลในอดีตที่ยังไม่ได้แก้ไข ซึ่งหากยืดเยื้ออาจนำไปสู่ภาวะโดดเดี่ยวเรื้อรัง (Chronic Loneliness)
2. การยึดติดกับกรอบ (Rigidity)
กิจวัตรที่เข้มงวดของฮิระยามะอาจเป็นดาบสองคม แม้ช่วยลดความวิตกกังวล แต่ก็อาจทำให้เขาตกอยู่ในกับดักของ comfort zone และขาดการเติบโตทางอารมณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาอาจปรับตัวได้ช้าเพราะคุ้นเคยกับการควบคุมทุกสิ่ง
3. การปฏิเสธอารมณ์เชิงลบ (Emotional Suppression)
ภาพยนตร์ไม่เปิดเผยอดีตของเขาอย่างชัดเจน แต่การที่ฮิระยามะไม่เคยพูดถึงครอบครัวหรือความฝันของตัวเอง อาจบ่งชี้ว่าเขากดเก็บความรู้สึกไว้ การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอารมณ์เหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะสะสมทางจิตใจ (Bottled-Up Emotions)
บทเรียนชีวิต: สะพานระหว่างความเรียบง่ายกับความเปราะบาง
1. การ redefine ความสำเร็จ
ฮิระยามะสอนให้เรามองว่าความสุขไม่จำเป็นต้องผูกกับความยิ่งใหญ่ การทำงานที่ดู “เล็กน้อย” ก็สร้างคุณค่าต่อสังคมได้ หากเราทำมันด้วยใจ
2. สมดุลระหว่างสันโดษกับความสัมพันธ์
การอยู่คนเดียวได้ไม่ใช่จุดอ่อน แต่การปิดกั้นตนเองจากโลกคืออันตราย เราควรเปิดใจให้กับการเชื่อมต่อกับผู้อื่น แม้จะอยู่ในวงจำกัดไปบ้างก็ตาม
3. การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ
ชีวิตของฮิระยามะสะท้อนแนวคิด existentialism ที่ว่า “ความหมายชีวิตถูกสร้างได้ด้วยตนเอง” แม้ในวันที่ทุกอย่างดูหม่นหมอง เรายังสามารถเลือกมองหาความงามในรายละเอียดเล็กๆ ที่ผ่านตาในแต่ละวันได้
โคโมเรบิ (木漏れ日) กับบทบาทเชิงสัญลักษณ์ใน Perfect Days
“โคโมเรบิ” เป็นคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึง “แสงแดดที่ลอดผ่านใบไม้” สื่อถึงภาพของแสงที่กระจัดกระจายเป็นริ้วผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งก้าน ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เปราะบางแต่เต็มไปด้วยความงามชั่วขณะนี้ เป็นสัญลักษณ์สำคัญใน Perfect Days ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของ “ฮิระยามะ” อย่างแยบยล
ในภาพยนตร์ ฮิระยามะมักหยุดเวลาเพื่อถ่ายภาพโคโมเรบิด้วยกล้องฟิล์มเก่า การกระทำนี้ไม่เพียงสะท้อนความหลงใหลในความงามเรียบง่าย แต่ยังเป็นการฝึกสติให้จดจ่อกับปัจจุบันขณะ (Mindfulness) แสงที่ลอดใบไม้เปรียบเสมือน “ความสุขชั่วคราว” ที่ต้องอาศัยการสังเกตอย่างตั้งใจจึงจะรับรู้ได้ เช่นเดียวกับการที่ฮิระยามะเลือกมองหาความหมายในงานทำความสะอาดห้องน้ำ—สิ่งซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นงานซ้ำซาก
โคโมเรบิยังเป็นตัวแทนของความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลง แม้จะเกิดขึ้นทุกวัน แต่รูปแบบของแสงและเงาไม่เคยซ้ำเดิม ตรงกับชีวิตของฮิระยามะที่ดูเหมือนเป็นกิจวัตร แต่ภายในเต็มไปด้วยการดิ้นรนทางอารมณ์และการเติบโตทีละน้อย ทุกครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นมองโคโมเรบิ เปรียบเสมือนการยอมรับว่า “ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง” แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง
ในทางจิตวิทยา แสงโคโมเรบิอาจถูกตีความว่าเป็นการเยียวยา (Healing) ผ่านการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การได้อยู่ท่ามกลางแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาช่วยให้ฮิระยามะรับมือกับความเหงาโดยไม่ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์จากผู้อื่น แต่อาศัยความสัมพันธ์กับโลกภายนอกแทน
สำหรับผู้ชม Perfect Days ใช้โคโมเรบิเป็นเครื่องมือเล่าเรื่องที่ไร้คำพูด แต่สื่อสารได้ลึกซึ้งว่า ความสุขที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ในสิ่งที่ไม่จีรัง และการมีอยู่ของมันขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นมันเมื่อไร—เหมือนแสงแดดที่ลอดใบไม้ ซึ่งบางวันอาจถูกเมฆบัง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันหายไป… แค่รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อส่องผ่านอีกครั้ง
สรุป: ทางเดินที่เรียบง่ายแต่ไม่หยุดนิ่ง
ฮิระยามะเป็นตัวละครที่ท้าทายกรอบคิดของสังคมเกี่ยวกับ “ชีวิตที่ดี” ตามขนบที่สังคมส่วนใหญ่กำหนด เขาแสดงให้เห็นว่าความสงบทางจิตใจอาจเกิดจากการยอมรับปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงอดีตและอนาคตมากเกินไปก็อาจทำให้เราหลุดจากความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถาม: เราจะหาจุดสมดุลระหว่างการชื่นชมปัจจุบันกับการก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กันได้อย่างไร?
ภาพยนต์เรื่องนี้ สำหรับผู้ชมบางกลุ่มแล้วอาจจะพารู้สึกเบื่อหน่ายกับการดำเนินเรื่องช้าๆ ซ้ำๆ และไม่รู้ว่าเรื่องจะพาเราไปเจอกับอะไร แต่ส่วนตัวคิดว่าเมสเซจที่จะสื่อก็คือ พาเราไปรู้จักชีวิตที่เอนจอยกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว ฟังเพลงจากเทปคลาสเซ็ตเก่าๆ หนังสือมือสองราคาถูก นั่งดูแสงระยิบระยับจากเงาต้นไม้ ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม ดั่งที่ฮิระยามะเป็นนั่นเอง…
ว่าแล้วก็นึกถึงคำพูดจากซีรี่ส์อีกเรื่องของกาย ริชชี่ – The Gentlemen ที่เจฟฟ์ (วินนี่ โจนส์) พูดเอาไว้ว่า
It’s a lucky man who’s happy with his place in life.
คนที่โชคดีคือคนที่มีความสุขกับที่ทางของตนในชีวิต

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ