Skip to content

[รีวิว] The Substance : สวยสลับร่าง (2024)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

ภาพยนตร์ The Substance (2024) ชื่อไทย สวยสลับร่าง เป็นหนึ่งในงานที่เต็มไปด้วยการตีความเชิงสัญลักษณ์และการตั้งคำถามต่อธรรมชาติของมนุษย์ในมิติที่ลึกซึ้ง ผู้กำกับได้เลือกที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ทั้งคารวะผลงานระดับตำนาน เช่น Psycho (1960) ของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อก และผลงานของสแตนลีย์ คูบริก ผ่านความเข้มข้นของฉาก การจัดแสง และการถ่ายภาพที่สะท้อนอารมณ์หลอนแบบไร้กาลเวลา พร้อมกับการแทรกความละเมียดละไมในการเล่าเรื่องที่กระตุ้นให้คนดูต้องตั้งคำถามกับตัวเองในทุกช่วงเวลา

การคารวะต่อผลงานคลาสสิกและความประทับใจในงานสร้าง

การใช้ฉากและการเล่าเรื่องของ The Substance มีความเคารพต่อแนวทางของภาพยนตร์ยุคคลาสสิกอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ฉากกระจกที่นางเอกมองตัวเองนั้นชวนให้นึกถึงการใช้กระจกใน Psycho เพื่อสะท้อนจิตใจที่แตกร้าวของตัวละคร ในขณะเดียวกัน สไตล์การถ่ายทำแบบสมมาตรและการใช้สีที่จัดจ้านของ The Substance ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากผลงานของคูบริก เช่น The Shining ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความงดงามทั้งในด้านเทคนิคและการเล่าเรื่อง

การวิพากษ์วงการบันเทิงและการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์

หนึ่งในประเด็นที่ภาพยนตร์ต้องการสะท้อนคือการยึดติดกับความเป็นอมตะและความหวาดกลัวต่อความแก่ชรา ซึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นการวิพากษ์วงการบันเทิงที่หมกมุ่นกับความเยาว์วัย ฉากสุดท้ายที่ตัวละครเอกกลายเป็นอสูรกายและทำลายคืนวันปีใหม่ของวงการบันเทิงอาจตีความได้ว่าเป็นการเหน็บแนมถึงการแสดงออกที่ไร้ความจริงใจของวงการ ซึ่งพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยการสูญเสียความเป็นมนุษย์ของตัวเอง

ถึงแม้บทสวด “อะนิจจา วะตะ สังขารา” จะไม่ได้ปรากฏในภาพยนตร์โดยตรง แต่ผู้ชมสามารถนำมาเป็นข้อคิดสำคัญได้ บทสวดนี้เตือนเราว่าทุกสิ่งในโลกย่อมเปลี่ยนแปลง ความพยายามที่จะต้านทานธรรมชาติหรือแสวงหาความสมบูรณ์แบบนิรันดร์เป็นเพียงภาพลวงตา การยอมรับและปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง คือหนทางที่จะพาเราหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งกิเลสและความทุกข์

วิธีสร้างสมดุลระหว่าง Matrix (ร่างแม่แบบ) และ Other Self (อีกร่าง)

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์ระหว่างแม่แบบ “Matrix” ซึ่งเป็นร่างต้น และอีกร่าง “Other Self” ที่อายุน้อยกว่าและปรากฏขึ้นมาเพื่อท้าทายอัตลักษณ์ของร่างต้น ภาพยนตร์สะท้อนให้เห็นว่าความพยายามที่จะปราบหรือครอบงำอีกฝ่ายกลับยิ่งเพิ่มความแตกแยก การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลอาจเป็นไปได้หากทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อดีและข้อเสียของกันและกัน

ในมุมมองนี้ Matrix อาจต้องยอมรับว่าความเยาว์วัยของ Other Self เป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้เสริมสร้างพลังและความมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกัน Other Self ก็ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์และความสง่างามในวัยวุฒิของ Matrix เพื่อสร้างความสมดุล การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสองฝ่ายจะช่วยให้พวกเขาอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ทำลายซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ การใช้สัญลักษณ์ในภาพยนตร์ยังสะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันของสองมิติในตัวบุคคล เช่น การแบ่งปันพื้นที่ การยอมรับความจริงของชีวิต และการปลดปล่อยตัวเองจากความหลงในสิ่งที่ไม่จีรัง เมื่อ Matrix และ Other Self หยุดแข่งขันกันและเริ่มมองเห็นเป้าหมายร่วมกัน พวกเขาอาจค้นพบหนทางใหม่ที่ทั้งสองสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

บทสรุป

The Substance เป็นงานที่กระตุ้นความคิดและท้าทายผู้ชมให้สำรวจความกลัวและกิเลสในตัวเองผ่านเลนส์ของภาพยนตร์ การเล่นกับสัญลักษณ์และการตั้งคำถามถึงธรรมชาติของมนุษย์ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความลึกซึ้งเกินกว่าความเป็นภาพยนตร์สยองขวัญทั่วไป และเป็นผลงานที่สมควรถูกจารึกในวงการภาพยนตร์ยุคใหม่อีกหนึ่งเรื่อง

เกร็ดภาพยนตร์ The Substance (2024) จาก IMDB

  • เรย์ ลิอ็อตตา(Ray Liotta)และการเปลี่ยนตัวนักแสดง: เรย์ ลิอ็อตตา(Goodfellas(1990),Narc(2002) ได้รับบทฮาร์วี่ย์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 แต่เขามาเสียชีวิตในเดือนพฤษภาคมก่อนการถ่ายทำ เดนนิส ควอยด์(Dennis Quaid ที่มีผลงานอย่าง Far From Heaven(2002), Frequency(2000), The Day After Tomorrow(2004)จึงมารับบทแทน แต่ชื่อของเรย์ ลิอ็อตตายังคงปรากฏในท้ายเครดิตภาพยนตร์
  • หน้าอกของมาร์กาเร็ต ควอลลีย์: ได้เปิดเผยว่าหน้าอกที่เห็นในภาพยนตร์เป็นของเทียมที่ออกแบบโดยปิแอร์ โอลิเวียร์ เพอร์แซง ช่างแต่งหน้าชาวฝรั่งเศส
  • ความประหม่าในการถ่ายทำของเดมี มัวร์: เธอเผยว่ารู้สึกโคตรประหม่าในการถ่ายฉากเปลือยในวัย 59 ปีของเธอ แต่มาร์กาเร็ต ควอลลีย์ วัยที่ห่างกัน 30 ปีก็ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งมาร์กาเร็ต ควอลลีย์ก็ต้องเล่นฉากเปลือยเช่นกัน นอกจากนี้แม่ของมาร์กาเร็ต – แอนดี้ แมคโดเวลล์  ก็เคยแสดงหนังร่วมกับมัวร์ในภาพยนตร์ St. Elmo’s Fire (1985) อีกด้วย
  • แรงบันดาลใจจากนวนิยาย The Picture of Dorian Gray – “ภาพเหมือนของดอเรียน เกรย์”: ภาพยนตร์มีส่วนคล้ายกับเรื่องราวของดอเรียน เกรย์ ที่ความชราปรากฏบนภาพวาดแทนร่างกายจริง ในภาพยนตร์ ร่างของเอลิซาเบธเริ่มเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วจากการใช้สารผิดวิธี เช่นเดียวกับเกรย์ที่ซ่อนภาพวาด เอลิซาเบธทุบโปสเตอร์ของตนเองและซ่อนมันไว้ในห้องลับ
  • ชุดมอนสโตร์ เอลิซาซู(Monstro Elisasue): มาร์กาเร็ต ควอลลีย์เผยในงาน TIFF ว่าเธอแสดงในชุด “มอนสโตร์ เอลิซาซู” ในตอนท้าย โดยใช้เวลาถึง 5-6 ชั่วโมงในการแต่งตัว แม้กระบวนการจะยากลำบาก แต่เธอสนุกกับการแสดงฉากเหล่านี้
  • อิทธิพลจาก The Fly (1986): ผู้กำกับกอราลี ฟาร์ฌาต์กล่าวว่า The Fly ของเดวิด โครเนนเบิร์ก มีอิทธิพลต่อภาพยนตร์ โดยเฉพาะฉากเล็บที่หลุดออกจากนิ้ว
  • ฉากที่อ้างอิงถึงโครเนนเบิร์ก: ฉากที่ซูดึงขาไก่ออกจากท้องเป็นการอ้างอิงถึง Videodrome (1983) และ eXistenZ (1999) ของโครเนนเบิร์ก ที่มีตัวละครสอดมือเข้าไปในท้องและดึงปืนออกมา
  • ผู้ชมในฉากสุดท้าย: ผู้กำกับกอราลี ฟาร์ฌาต์ได้พูดถึงผู้ชมในช่วงส่งท้ายปีเก่าว่า “ผู้ชมคือตัวแทนของสังคม และฉันต้องการถ่ายทอดความฝันที่แท้จริงของเอลิซาเบธ – นั่นคือการได้รับความรักอย่างที่เธอเป็น ความรุนแรงที่ปรากฏในภาพยนตร์ เป็นการสะท้อนความรู้สึกที่ได้รับจากสายตาและแรงกดดันของความงาม การสาดเลือดกระจายเป็นวิธีที่ฉันต้องการสื่อให้ผู้ชมเห็นว่า พวกเขามีส่วนรับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น”

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole