Skip to content

[รีวิว] Stand by Me (1986) : สแตนด์บายมี แด่เราและเพื่อน

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

“Stand by Me” (สแตนด์บายมี แด่เราและเพื่อน) เป็นภาพยนตร์คลาสสิคแนว Coming of Age กำกับโดย Rob Reiner ออกฉายในปี 1986/2529 ที่ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง “The Body” ของ Stephen King ที่เล่าเรื่องราวในช่วงปี 1950s ของเมืองเล็กๆ ในรัฐโอเรกอน ตามติดเรื่องราวเด็กชายสี่คนที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนจากเด็กประถมขึ้นมัธยมต้น การปิดเทอมสุดท้ายในวัยเด็กของพวกเขาเหล่านี้ ทั้งสี่ใช้เวลาออกเดินทางร่วมกันเพื่อค้นหาศพของเด็กชายในข่าวที่หายตัวไป

เด็กทั้งสี่คนวัย 12 ประกอบด้วย Gordie Lachance (Wil Wheaton) เป็นตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เป็นเด็กเงียบๆ เก็บตัว มีความหลงใหลในงานเขียน ภายในจิตใจของกอร์ดี้กำลังรับมือการเสียชีวิตของพี่ชายเมื่อไม่นานมานี้ และยังรู้สึกถูกความเศร้าโศกของพ่อแม่ที่สูญเสีย “ลูกชายคนโปรด” นั้นบดบังการมีอยู่ของตัวเองในครอบครัว

Chris Chambers (River Phoenix) เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของกอร์ดี้  ที่พื้นหลังครอบครัวมีปัญหาและมักถูกตัดสินและถูกตราหน้าจากชื่อเสียง(เสียๆ)ของครอบครัว ซึ่งทำให้เขารู้สึกติดกับและชีวิตมันไม่แฟร์ แต่คริสเองก็เป็นคนฉลาดและรอบรู้ เพราะด้วยความรักในการอ่านหนังสือและความปรารถนาที่จะหลีกหนีจากสถานการณ์ของตัวเองผ่านการศึกษาให้ดีขึ้น และยังเป็นคนแนะนำให้ออกเดินทางค้นหาศพเด็กคนนั้น

Teddy Duchamp (Corey Feldman) เป็นเด็กชายที่แข็งแกร่งและคาดเดาได้ยาก ซึ่งมีพื้นฐานครอบครัวที่มีปัญหาคือ พ่อของเท็ดดี้เป็นทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ทำให้เท็ดดี้ถูกพ่อตัวเองทำร้ายร่างกาย อย่างไรก็ตามเท็ดดี้ก็ยังเคารพและบูชาพ่อของเขาพร้อมปกป้องพ่อเขาอยู่ตลอด แม้เท็ดดี้หลงใหลในอาวุธและเรื่องของสงคราม แต่ก็ยังแสดงให้เห็นช่วงเวลาที่เปราะบางและอ่อนไหว เช่น เมื่อเล่าเรื่องราวทั้งน้ำตากับเพื่อนๆ ฟังว่า พ่อของเขาเคยจับเท็ดดี้เอาหูแนบกับเตาแล้วเผา! แม้การเผชิญด้านจิตใจของเท็ดดี้เหมือนจะเกินวัย แต่ความภักดีของเท็ดดี้ที่มีต่อเพื่อนๆ นั้นมีอย่างสูง

Vern Tessio (Jerry O’Connell) เวิร์นแสดงให้เห็นว่าเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาและขี้อายที่สุดในกลุ่ม เขามักจะถูกพี่ชายและเด็กคนอื่นๆ ในเมืองรังแก และก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อให้ตามเพื่อนๆ ให้มีความมั่นใจมากขึ้น แม้จะดูเหมือนเป็นเด็กที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่เวิร์นเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์และกล้าที่จะร่วมออกเดินทางเพื่อค้นหาศพของเด็กชายที่หายตัวไป และเวิร์นนี่เองที่เป็นคนรู้ว่าศพนั้นอยู่ที่ไหน เพราะได้ยินพี่ชายคุยกับเพื่อน

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการพาไปดูเรื่องราวความเจ็บปวดภายใต้ความไร้เดียงสาในวัยเด็ก มิตรภาพ และความกลัวที่จะเติบโตขึ้นในวัยเปลี่ยนผ่านจากประถม ในเรื่องจะพบเนื้อหาเกี่ยวกับความสูญเสีย ความเศร้าโศก และผลกระทบของความคาดหวังของผู้ปกครองที่มีต่อเด็ก รวมถึงการออกผจญภัยเพื่อค้นหาศพของเด็กชายซึ่งเปรียบได้กับการเดินทางสู่วัยผู้ใหญ่ เพราะอุปสรรคที่พวกเขาต้องพบเจอระหว่างทางนั้น เป็นบททดสอบความอดทนและมิตรภาพของพวกเขา

จุดไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้ทั้งบีบหัวใจและฟื้นฟูจิตใจไปในครั้งเดียวกัน และสอนให้เรารู้ถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความกลัวของเรา ซึ่งการแสดงของนักแสดงรุ่นเยาว์นั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก ถ่ายทอดความแตกต่างของตัวละครของพวกเขาได้อย่างสมจริงและละเอียดอ่อนได้ดีจริงๆ จึงไม่แปลกใจที่ขึ้นหิ้งหนังในใจของหลายๆ คน

เมื่อบอกว่าขึ้นหิ้งแล้ว แสดงว่าต้องประสบความสำเร็จทั้งเงินและกล่อง โดยเรื่องนี้สร้างด้วยงบประมาณเพียง 8 ล้านดอลลาร์ แต่ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศไปถึง 52.3 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก ก็กลายเป็นหนัง ‘คัลท์คลาสสิก’ นอกนั้นยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงและได้รับมา 6 รางวัล รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ยุค ‘50s จากเรื่องนี้ก็ได้รับคำชมเช่นกัน เช่น Stand by Me (Ben E. King), Lollipop (The Chordettes), Great Balls of Fire (Jerry Lee Lewis), Come Go with Me (The Del-Vikings), และ Yakety Yak (The Coasters)

โดยสรุปแล้ว “Stand by Me”(สแตนด์บายมี แด่เราและเพื่อน) เป็นผลงานคลาสสิกที่อยู่เหนือกาลเวลา เพราะว่ายังคงโดนใจผู้ชมทุกวัยจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถพาย้อนเวลาในคำนึงถึงมิตรภาพในวัยเด็กได้ อาจจะแทนตัวเองเป็นสักตัวละครนึงในนั้น คิดว่าเป็นหนังที่ควรต้องดูสักครั้งนึงในชีวิตนะ เพราะมันค่อนข้างดีจริงๆ และ ตอนนี้มีให้ดูใน NETFLIX แล้ว

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *