[แชร์ประสบการณ์] เช่ารถขับในอเมริกาด้วยใบขับขี่ประเทศไทย

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่น่าใช่เรื่องใหม่อะไรหรอกนะครับ ข้อมูลในอินเตอร์เนตมีคนแชร์เยอะแยะแล้ว แต่พอมีโอกาสได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังสหรัฐอเมริกา การเช่ารถขับที่ไม่ได้อยู่ในแผนมาก่อน อีกอย่างคิดว่าต้องมีใบขับขี่สากลติดไว้ในการเช่ารถด้วยนั้น แต่ด้วยความขี้เกียจก็ไม่ได้ไปทำมันซะงั้น จนกระทั่งถึงวันบินไปจริงๆ นั่นแหละ

ด้วยเหตุที่ต้องเช่ารถขับ เนื่องจากเมืองที่อยู่ระบบขนส่งสาธารณะไม่เอื้อนิดหน่อย แม้ระบบขนส่งสาธารณะที่นั่นจะนำประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพไปหลายเท่า แต่เอาจริงบางอย่างในบ้านเราเข้าถึงง่ายกว่ายิบย่อยได้เยอะกว่า เช่น วินมอไซค์เป็นต้น การที่จะเรียกใช้บริการรถรับจ้างอย่าง Uber หรือ Lyft แม้จะไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่คำนวณค่าใช้จ่ายต่อวันเทียบกับการเช่ารถขับรวมเติมน้ำมันกับประกันแล้ว บางทีการเช่ารถขับเองก็คุ้มค่ากว่าเสียด้วยซ้ำ นั่นเลยเป็นที่มาเช่ารถดีกว่า แต่ก็นะมีแค่ใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ดอย่างเดียว บริษัทรถเช่าจะให้มั้ยนะ? หาข้อมูลในเน็ตแล้วก็แตกเป็นสองเสียง วันนี้เลยจะมาสรุปให้ฟังเลยครับ

เช่ารถใช้แค่ใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ดไม่ต้องใช้ใบขับขี่สากล

ถ้าพูดถึงการเช่ารถขับในอเมริกานั้น คำว่าอเมริกามันกว้างมากๆ เลยต้องอ้างอิงแค่รัฐที่ไปละกันนะครับคือ แคลิฟอร์เนีย สามารถใช้ใบขับขี่ไทยที่เป็นแบบสมาร์ทการ์ด(ที่มีภาษาอังกฤษกำกับ)บวกกับพาสปอร์ทเช่ารถขับได้เลย โดยบริษัทที่ให้เช่านั้นอย่าง Enterprise / Alamo / Avis / Budget ไม่ได้ถามหาใบขับขี่สากลเพิ่มแต่อย่างใด อีกอย่างในใบขับขี่ผมเป็น “ตลอดชีพ” หรือ “Lifetime Private Car” เจ้าหน้าที่ที่ให้เช่าก็ไม่ได้ถามถึงตรงนี้ด้วยนะครับ เราก็แอบห่วงว่าประเทศเค้าจะมีแบบนี้มั้ยนะ กลัวดูไม่น่าเชื่อถือ 🤣

สรุปสิ่งที่ต้องเตรียมในการเช่ารถขับในอเมริกา

ใบขับขี่แบบสมาร์ทการ์ดที่ยังไม่หมดอายุ แบบตลอดชีพก็ใช้ได้

พาสปอร์ทชื่อที่ตรงกับใบขับขี่ ร้านรถเช่าบางแห่งดูวันที่เดินทางเข้ามาในพาสปอร์ทด้วยนะครับ เดาว่าถ้าหากอยู่นานเกินนักท่องเที่ยวเค้าจะถามหาใบขับขี่ของรัฐแทน ซึ่งคนไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกาก็ต้องทำใบขับขี่ตามรัฐที่อยู่นั่นแหละถึงจะใช้เป็นหลักฐานได้

บัตรเครดิต อันนี้คิดว่าสำคัญเหมือนกันไม่แน่ใจว่าเงินสดเค้ารับหรือเปล่านะครับ แต่ทุกที่ที่ไปเช่า เค้าถามหาบัตรเครดิต เนื่องจากต้องใช้ในการเป็นวงเงินประกัน และการมาเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มในกรณีที่เราใช้ทางด่วน ซึ่งทางด่วนบางแห่งในอเมริกามันไม่มีบูธจ่ายเงินนะครับ เค้าอาศัยถ่ายป้ายทะเบียนแล้วมาเรียกเก็บกันทีหลัง ซึ่งรถเช่าส่วนใหญ่เค้าลงทะเบียนไว้หมดแล้ว (ค่าทางด่วนเก็บตามจริง แต่จะมี Service Charge ด้วยนะ)

ควรจะจองรถล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์หรือ App ของบริษัทรถเช่านะครับ อย่าชะล่าใจว่าเดินไปแล้วจะได้รถเช่าทุกครั้ง บางทีตอนเช้าเห็นในเว็บมีรถอยู่ดีๆ แต่พอสายๆ หน่อย Sold Out หมดร้านก็เจอมาแล้วครับ ดังนั้นควรจะสำรองผ่านเว็บไซต์ก่อน

การเช่ารถจากเมืองนึงไปส่งคืนอีกเมืองนึง บอกตรงๆ ว่ายากหน่อยนะครับ ส่วนใหญ่จะให้เช่าและรับส่งคืนที่เดิม ก็ไม่สนามบินหรือหัวเมืองใหญ่ๆเท่านั้น และราคาคืนต่างสถานที่นั้นจะแพงขึ้นไปอีก (หรืออาจเป็นเพราะเมืองที่อยู่เป็นเมืองเล็กๆ ก็ได้ 😅)
การเติมน้ำมันคืนให้เท่าเดิม (ส่วนใหญ่จะเต็มถัง) เนื่องจากปั้มในอเมริกาไม่มีเด็กปั้มนะครับ การเติมน้ำมันนั้นต้องบริการตัวเอง ง่ายหน่อยก็ใช้บัตรเครดิตนั่นแหละรูดมันตรงหัวจ่ายได้เลยแล้วกดให้เต็มถังเอาใบเสร็จก็จบ แต่ถ้าจะจ่ายด้วยเงินสด ต้องเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตในปั้มบอกเลขหัวจ่ายกับแคชเชียร์พร้อมจำนวนเงินที่ต้องการเติมได้เลย (บอกแค่จำนวนเงินพอ ส่วนหัวจ่ายเราจะเติมน้ำมันชนิดไหนก็ได้ตามจำนวนเงิน) หลังจ่ายเงินเสร็จได้ใบเสร็จถึงจะค่อยออกมาเติมนะครับ

แผนที่และการนำทาง เชื่อว่าหลายคนคงใช้สมาร์ทโฟนที่มี Google Map กันอยู่แล้วนะครับ และรถเช่าในอเมริกาส่วนใหญ่มาพร้อมกับ Apple Car Play หรือ Andriod AUTO อยู่แล้ว เราควรเตรียมสายชาร์จแบบ USB ไว้เชื่อมต่อเพื่อใช้แผนที่บนหน้าจอรถเพื่อความสะดวกได้เลยครับ ไม่จำเป็นต้องเช่า GPS เพิ่มเลย (รถบางรุ่นที่เช่าก็มี Navi มาพร้อมแล้ว) แต่ควรจะ Download แผนที่แบบ Offline ไว้ก็ดีนะครับ บางพื้นที่ในแคลิฟอร์เนียเองโดยเฉพาะบนเขา สัญญาณโทรศัพท์มีน้อยมากถึงไม่มีเลยล่ะ (T-Moblie) หรือถ้าอยากให้สัญญาณครอบคลุมหน่อยก็ต้องใช้ของ Verizon (ซึ่งโทรศัพท์จากเมืองไทยใช้ซิมเจ้านี้ไม่ได้อีกเพราะเป็นระบบ CDMA ไม่ใช่ GSM แบบบ้านเรา) ถ้าไม่ใช้ Google Map แบบ Offline ก็แนะนำ App นำทางอย่าง Sygic หรือ Here WeGo ก็ได้ครับ

ส่วนเรื่องการขับขี่และกฏจราจรก็ไม่มีอะไรมาก อย่าขับเร็วเกินป้ายกำหนดและการขับแบบไทยๆ อาจใช้ไม่ได้ที่นี่นะครับ โดยเฉพาะป้ายหยุดเราต้องหยุดจริงๆ และเว้นสลับให้คันถึงป้ายหยุดก่อนไปก่อน จะอาศัยขับออกตามคันหน้าไม่ได้นะครับ นอกนั้นก็ไม่น่ามีอะไรให้ห่วงละครับ หรือจะศึกษากฏจราจรพื้นฐานได้จากแอนิเมชั่นนี้ได้ก็ดีนะครับ