ผมยังจำความรู้สึกตอนนั่งเงียบๆ อยู่ในบ้านเก่า ที่ทุกซอกทุกมุมมีร่องรอยบางอย่างทิ้งไว้ให้เดาเสมอว่า ก่อนหน้าที่เราจะมาอยู่นั้น มีใครเคยหัวเราะ เคยร้องไห้ หรือเคยสูญเสียอะไรตรงนี้บ้าง บ้านหลังหนึ่งคือหลักฐานที่มีชีวิตมากกว่ารูปถ่าย และ Robert Zemeckis ก็ดูเหมือนจะคว้าเอาความรู้สึกนี้มาสร้างเป็น Here (2024) อย่างทะเยอทะยานราวกับจะบันทึกทั้งจักรวาลลงในกรอบเดียว
หนังทั้งเรื่องแทบไม่เคลื่อนย้ายกล้องออกไปไหนเลย มันปักหมุดกล้องไว้ที่ห้องหนึ่งในบ้านแถบอเมริกา และปล่อยให้กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ตั้งแต่ยุคที่ผืนดินยังเป็นบึงโคลนและมีไดโนเสาร์เดินผ่าน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้า ดงไม้ ป่ารกร้าง แล้วก็มนุษย์ยุคบุกเบิกที่มาตั้งถิ่นฐาน ตัดไม้ ก่อสร้าง และกลายเป็นบ้านหลังที่เราคุ้นตา จากนั้นภาพค่อยๆ เลื่อนไปสู่ศตวรรษที่ 19, 20 จนถึงปัจจุบันและยังแง้มไปถึงอนาคต ทุกยุคทุกสมัยปรากฏขึ้นในมุมมองเดียว แต่ชั้นความทรงจำกลับทับซ้อนกันแน่นหนาราวกับเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์

สิ่งที่ทำให้ผู้ชมบางคนอาจงงคือการตัดต่อที่กระโดดข้ามเวลาแบบฉับพลัน บางทีเมื่อครู่ยังเห็นคู่หนุ่มสาวโอบกอดกัน แต่เสี้ยววินาทีถัดมากลายเป็นสงครามโลกที่ลูกหลานของพวกเขาถูกส่งไปแนวหน้า หรือเมื่อครู่ยังเป็นปาร์ตี้ปีใหม่ กลับกลายเป็นความว่างเปล่าของบ้านที่ถูกทิ้งร้าง แต่นี่คือภาษาหนังของ Here ที่บอกเราว่า กาลเวลามิได้เดินเป็นเส้นตรง หากแต่เหมือนริ้วคลื่นที่ทับกันอยู่ในสถานที่เดียวกันเสมอ
จากเถ้าธุลีประวัติศาสตร์สู่ความทรงจำของครอบครัว
หากมองตามเส้นตรง บ้านหลังนี้คือประวัติศาสตร์ที่หายใจได้ มันเริ่มต้นจากเพียงผืนดินที่ในยุคไดโนเสาร์เคยเป็นบึง ก่อนจะถูกทับถมด้วยชั้นน้ำแข็งและเปลี่ยนเป็นป่าเขียวชอุ่ม จนกลายเป็นที่พักพิงของคู่รักชาวพื้นเมืองผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย ก่อนที่ความตายจะแยกพวกเขาออกจากกัน เมื่อเวลาหมุนผ่าน ยุคอาณานิคมก็ก้าวเข้ามาแทนที่ เงาของคฤหาสน์ใหญ่ฝั่งตรงข้ามที่เป็นของ William Franklin ลูกชายของ Benjamin Franklin สะท้อนอำนาจและความทะเยอทะยานของโลกใหม่ที่กำลังกลืนกินแผ่นดินนี้
ก้าวสู่ต้นศตวรรษที่ 20 บ้านหลังที่เราคุ้นตาจึงถูกสร้างขึ้น และเริ่มมีครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัย คนแรก ๆ คือ John และ Pauline Harter คู่สามีภรรยาธรรมดาที่เผชิญชะตากรรมใหญ่ของโลกเมื่อ John เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดสเปน ทิ้งบ้านไว้ให้ Pauline เพียงลำพัง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนมือไปสู่คู่สามีภรรยา Leo และ Stella Beekman ในทศวรรษ 1940s — Leo หมกมุ่นอยู่กับการประดิษฐ์เก้าอี้เอนที่ต่อมากลายเป็นเฟอร์นิเจอร์เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การออกแบบอเมริกัน ส่วน Stella กลายเป็น pin-up model ผู้ทำให้บ้านนี้สะท้อนบรรยากาศยุคทองของสื่อสิ่งพิมพ์

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Al Young และภรรยา Rose ซื้อบ้านหลังนี้ พวกเขาเลี้ยงดูลูกสามคน — Richard, Elizabeth และ Jimmy — และใช้บ้านเป็นเวทีของทั้งวันธรรมดาและวาระพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นมื้ออาหาร งานเลี้ยง ไปจนถึงงานแต่งงานของ Richard กับ Margaret ทุกช่วงเวลาได้หลอมรวมความทรงจำอันเป็นรากฐานของครอบครัว Young ให้หยั่งรากอยู่ในผนังและพื้นไม้แห่งนี้ยาวนานหลายทศวรรษ
เมื่อกาลเวลาผ่านเข้าสู่ยุค 2000s หลัง Rose จากไป Al เคยกลับมาอยู่อีกครั้งชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่ Richard กับ Margaret จะเลิกรากัน และบ้านถูกขายต่อให้ครอบครัว Harris — Devon, Helen และลูกชายของพวกเขา — ซึ่งเข้ามาอยู่ในช่วงที่โลกเผชิญวิกฤตโควิด-19 บ้านหลังนี้จึงไม่เพียงแต่บันทึกความฝันและความรัก หากยังบันทึกความสูญเสียและบาดแผลร่วมสมัยของคนรุ่นใหม่ไว้ด้วย
จนกระทั่งในปี 2024 วงจรชีวิตเวียนกลับ Richard และ Margaret ในวัยชรากลับมาเยือนบ้านที่ว่างเปล่าอีกครั้ง มาร์กาเร็ตเริ่มหลงลืมความทรงจำทีละน้อย และริชาร์ดก็กลายเป็นผู้แบกรับหน้าที่ทวงคืนเศษเสี้ยวอดีตให้เธอ ทั้งสองนั่งมองผนังเดิมที่เคยเป็นฉากหลังของชีวิต หนังทิ้งภาพนี้ไว้โดยไม่ตอบชัด พวกเขาจะกลับมาซื้อคืน หรือเพียงกลับมาเพื่อบอกลาสถานที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของชีวิตกันแน่ — คำถามนี้เองที่ทำให้ Here กลายเป็นงานสะท้อนใจว่า บ้านไม่เคยเป็นเพียงสิ่งปลูกสร้าง แต่คือคลังความทรงจำของโลกที่เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเรา
บ้านคือพระเอก เวลา คือผู้เล่าเรื่อง
Robert Zemeckis ใช้เทคนิค CGI และการแสดงที่ผ่านการ de-aging ของ Tom Hanks และ Robin Wright อย่างแนบเนียนจนเราลืมไปเลยว่านี่คือภาพยนตร์ที่อาศัยเทคโนโลยี เขาทำให้มันเป็นบทกวีภาพเคลื่อนไหว ที่เน้น “ความทรงจำของพื้นที่” มากกว่าความต่อเนื่องของเนื้อเรื่องปกติ ตัวละครหลักๆ ที่เราเห็นก็ไม่ใช่ “ตัวเอก” หากแต่เป็น “บ้าน” และ “กาลเวลา” ที่เล่นเป็นพระเอกตัวจริง

ถ้าลองมองผ่านสายตาคนในวัย 50 ที่ผ่านโลกมาพอสมควร หนังเรื่องนี้คือการชวนให้เราถอยออกมาดูชีวิตจากมุมสูง ช่วงวัยรุ่นอาจเคยคิดว่าตัวเองคือศูนย์กลางจักรวาล แต่เมื่อกาลเวลาพัดพาให้เห็นการเกิดและการจากลาไม่รู้กี่ครั้ง ก็เริ่มเข้าใจว่าเราเป็นเพียง “ช่วงหนึ่ง” ของพื้นที่ที่ยืนอยู่ บ้านหนึ่งหลังเคยเป็นรังรัก เคยเป็นที่ไว้ทุกข์ เคยเป็นเพียงตึกที่มีคนเดินผ่าน และสุดท้ายมันจะกลับไปสู่ดินฟ้าอากาศเช่นเดิม ความหมายของ Here จึงไม่ใช่แค่การตั้งคำถามว่า “เราอยู่ที่ไหน” แต่ยังถามด้วยว่า “สิ่งที่เราเรียกว่าบ้านหรือความทรงจำจริงๆ แล้วเป็นของใคร”
หนังบอกเราว่า เวลาไม่ได้เป็นเส้นตรง หากแต่คือเครือข่ายความทรงจำที่ทับกันอยู่ ณ สถานที่เดียว ทุกความสุข ทุกบาดแผล ทุกเสียงหัวเราะและน้ำตา ล้วนเป็นเสียงสะท้อนที่ไม่เคยจางหาย บ้านคือพยานที่ซื่อสัตย์ที่สุดของมนุษย์ และเมื่อเรามองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่า ไม่มีใครจริงๆ ที่เป็นเจ้าของมัน เราเพียงมาเช่าเวลาอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ส่งต่อให้กาลเวลาบันทึกต่อไปHere จึงไม่ใช่หนังที่เล่าเรื่องด้วยพล็อต แต่มันคือบทภาวนาที่ให้เรารับรู้ว่า “โลกจะคงอยู่ แต่เราจะจากไป” และนั่นไม่ใช่ความน่าหวาดหวั่น แต่คือการคืนความสงบใจให้กับเราว่า การมีอยู่ของเรานั้นสวยงามเพราะมันสั้น กาลเวลาไม่ได้พรากเราไป แต่ทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นความทรงจำที่ไม่สิ้นสุดต่างหาก

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ