ในยุคที่โรแมนติกคอมเมดี้กลายเป็นสินค้าในสายพาน Netflix ผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องจนหลายคนอาจรู้สึกว่าทุกเรื่องคือ “หนังเรื่องเดิม เพียงแค่เปลี่ยนชื่อกับนักแสดง” The Wrong Paris (2025) ของผู้กำกับ Janeen Damian กลับเป็นงานที่แม้จะไม่ได้ปฏิวัติอะไรใหม่ แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวจนผู้ชมต้องยอมปล่อยตัวเองไปกับความเชย ความเนิร์ด และความหวานเลี่ยนที่ตั้งใจจะเสิร์ฟมาแบบ “เต็มที่ไม่มีกั๊ก”
หนังเล่าผ่านตัวละคร Dawn (Miranda Cosgrove) อดีตทีนสตาร์ที่หวนกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในบทสาวที่ดันไปพัวพันกับโลกของรายการเรียลลิตี้แนวหาคู่สุดเวอร์วัง ซึ่งเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จทั้งพระเอกกล้ามแน่นหน้าหล่อ Trey McAllen III (Pierson Fodé) คู่แข่งสาวๆ ที่มีลักษณะตามแบบฉบับคาแรกเตอร์สเตอริโอไทป์ และการเดินเรื่องที่ใครๆ ก็มองออกตั้งแต่ 10 นาทีแรกว่าจะลงเอยอย่างไร แต่ทว่าความ “รู้ว่า predictable แต่ก็ยังดูเพลิน” กลับกลายเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ The Wrong Paris สนุกขึ้นอย่างน่าประหลาด

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่กลายเป็นเพียง “Hallmark movie ฉบับเน็ตฟลิกซ์” คือ เคมีระหว่าง Cosgrove และ Fodé ที่พุ่งแรงจนบางฉากถึงขั้นทำให้ผู้ชมต้องยิ้มเขินอยู่หน้าจอ พลังงานที่ทั้งสองส่งให้กันนั้นมากพอที่จะผลักความซ้ำซากของพล็อตให้กลายเป็นความบันเทิงแทนที่จะน่าเบื่อ และในแง่นี้ Damian แสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจสูตรของโรแมนติกคอมเมดี้อย่างถ่องแท้ – ไม่ใช่แค่การเขียนพล็อต แต่คือการจับคู่นักแสดงที่ทำให้เรารู้สึกอยากเชียร์ไปจนถึงตอนจบ

อีกจุดที่น่าพูดถึงคือ การเสียดสีโลกเรียลลิตี้ทีวี ที่แทรกอยู่ตลอด ทั้งฉากการแย่งซีน สาวๆ ที่ถูกทำให้เป็น archetype จนเกินจริง หรือการนำเสนอภาพปารีสที่แทบจะ “กรีนสกรีนจนหลุด” กลายเป็นมุกขำขันโดยไม่ตั้งใจ หนังเล่นกับ “ของปลอม” ตลอดเวลา ตั้งแต่ฉากเมืองหลวงฝรั่งเศสที่ดูเก๊ ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนสร้างขึ้นเพื่อหน้ากล้อง แต่ความย้อนแย้งคือ ในความปลอมทั้งหมดนี้กลับทำให้ผู้ชมค่อยๆ เชื่อใน “ความจริง” ของความสัมพันธ์ระหว่าง Dawn และ Trey มากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าหนังไม่ได้ไร้ที่ติ – จังหวะบางช่วงดูรีบเกินไป เหมือนกับว่ามีวัตถุดิบพอจะขยายเป็นมินิซีรีส์ แต่ถูกย่นให้เหลือเพียงภาพยนตร์ 90 นาที ซึ่งทำให้การพัฒนาตัวละครบางส่วนดูตื้นไปนิด อีกทั้งมุกตลกหลายอย่างยังอยู่ในระดับ “ขำพอผ่านๆ” ไม่ได้สร้างให้จดจำแบบยาวนาน ทว่าฉาก outtakes ท้ายเครดิตกลับกลายเป็นจังหวะที่ชนะใจผู้ชมอย่างแท้จริง เหมือนผู้สร้างรู้ว่าความเพลิดเพลินของหนังไม่ได้อยู่ที่พล็อต แต่คือบรรยากาศร่วมสนุกที่ทุกคนบนจอตั้งใจส่งต่อ

เมื่อมองย้อนกลับ The Wrong Paris คือการ์ดเชิญชวนผู้ชมให้มานั่งหัวเราะไปกับความเชยและความเลี่ยนที่เราทุกคนรู้ว่ามันคือ “ของปลอม” แต่ก็เต็มใจจะเชื่อสักครั้งในค่ำคืนวันหยุด มันอาจไม่ใช่งานศิลปะชั้นสูง ไม่ใช่โรแมนติกคอมเมดี้ที่สลักชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ในความเป็น “หนังสูตรสำเร็จที่รู้ตัวเองดี” มันกลับทำงานได้สมบูรณ์
สุดท้าย The Wrong Paris จึงเป็นเหมือนไวน์ราคาถูกที่รินใส่แก้วคริสตัล — รสชาติอาจไม่ได้เลิศหรู แต่ถ้าดื่มในบรรยากาศที่ใช่กับคนที่ใช่ มันก็กลายเป็นประสบการณ์ที่งดงามอย่างประหลาด

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ