หนัง The Running Man : คนเหล็กท้าชนนรก (1987) คือหนึ่งในผลงานที่อาจถูกคนจำนวนมากจดจำเพียงแค่เป็น “หนังแอ็กชันอาร์โนลด์” ยุคทอง ที่เต็มไปด้วยกล้ามบึ้ก เสื้อกล้ามขาว และการยิงปืนใส่ศัตรูอย่างไม่ลดละ แต่หากเราถอดชั้นของภาพแอ็กชันอันฉูดฉาดออกไป เราจะพบว่านี่คือหนังที่สะท้อนอเมริกาในยุคสมัยปลายสงครามเย็นได้เข้มข้นที่สุดเรื่องหนึ่ง และยังมีความร่วมสมัยอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อถูกฉายซ้ำในยุคที่เรียลลิตี้โชว์กับการเมืองผสานกันกลายเป็นความบันเทิงอันน่าขนลุก
โครงสร้างของหนังดูง่ายดาย—นักโทษชื่อ เบน ริชาร์ดส์ (Arnold Schwarzenegger) ถูกบังคับให้เข้าแข่งขันในเกมโชว์ “The Running Man” รายการที่ให้คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรวิ่งเอาชีวิตรอดในสนามประลองสุดโหดจากเหล่าสตอล์กเกอร์ (Stalkers) นักฆ่าที่ถูกยกย่องเหมือนดารา WWE ผสมซูเปอร์ฮีโร่ไร้เมตตา แต่เบื้องหลังภาพฉากใหญ่และการเชียร์โห่ร้องของผู้ชมในสตูดิโอคือการสั่นสะเทือนความจริงแท้ของสังคม—ความเป็นจริงถูกบิดเบือนโดยรัฐและสื่อ การโกหกถูกขายเป็นความจริง และความตายถูกผลิตซ้ำเป็นความบันเทิงราคาถูก

หนังเปิดตัวด้วยฉากที่เป็นหัวใจของทั้งเรื่อง: เบน ริชาร์ดส์ ปฏิเสธคำสั่งให้สังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ แต่กลับถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเขาคือผู้สังหารหมู่เอง ความย้อนแย้งตรงนี้คือกุญแจสำคัญ—ระบบอำนาจไม่ได้เพียงแค่กดทับ แต่ยัง “ผลิตเรื่องเล่า” เพื่อให้ผู้ชมทั้งประเทศกลืนกินโดยไม่ตั้งคำถาม และเมื่อริชาร์ดส์ถูกผลักเข้าสู่รายการ “The Running Man” เขากลายเป็นวัตถุในการบริโภคทางสายตา—คนดูทั้งห้องส่งปรบมือให้กับการฆ่า การตาย และการทรมาน เหมือนกับว่าเลือดเนื้อของมนุษย์กลายเป็นน้ำเชื่อมราดบนป๊อปคอร์น
สิ่งที่ทำให้หนังน่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่แอ็กชันอันเป็นเอกลักษณ์ของอาร์โนลด์ แต่คือการออกแบบ โลกสมมุติ ที่ก้องสะท้อนกับโลกจริง ยุค ’80 คือช่วงที่ทีวีครองอำนาจสูงสุด การสื่อสารมวลชนเป็นตัวกำหนดความจริง และความบันเทิงเริ่มทำหน้าที่แทน “ความจริง” ในสายตาของผู้ชม—และ The Running Man ก็ฉายภาพอนาคตที่สื่อไม่ได้เป็นเพียงผู้บอกเล่า แต่เป็นผู้สร้างความจริงให้คนทั้งประเทศเชื่อฟังโดยสิ้นเชิง

สตอล์กเกอร์แต่ละคน เช่น Subzero, Buzzsaw, Dynamo, Fireball ถูกออกแบบให้เป็นภาพแทนความรื่นรมย์บิดเบี้ยวของผู้ชม—ราวกับคาแรกเตอร์การ์ตูนหรือมวยปล้ำที่ทำให้การฆาตกรรมกลายเป็นเกมโชว์สุดหรรษา เราหัวเราะเชียร์ ขณะเดียวกันก็ลืมไปว่ากำลังเห็นชีวิตจริง ๆ ถูกดับลง ตรงนี้เองที่หนังคมคาย มันเปิดโปงกลไกของ Spectacle ตามแนวคิดของ Guy Debord ที่ว่าโลกสมัยใหม่ถูกทำให้กลายเป็น “ภาพ” มากกว่าความจริง
ฉากที่ริชาร์ดส์กลับมาล้มล้างเกมในตอนท้าย ไม่ใช่แค่ชัยชนะของพระเอกกล้ามโต แต่คือการเปิดโปง การโกหกของทั้งระบบ ต่อหน้าคนดูทั้งประเทศ ภาพจริงที่ถูกบันทึกไว้ (การสังหารหมู่พลเรือน) ถูกฉายขึ้นจอ ทำให้ผู้ชมที่เคยเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย หนังจบลงที่การล่มสลายของสตูดิโอและการตายของ Damon Killian พิธีกรผู้ยิ่งใหญ่ (Richard Dawson) ชายที่ทั้งประเทศเคยรัก—นี่ไม่ใช่เพียงการล้มฆาตกรในเกม แต่คือการโค่นอำนาจสื่อและระบบโกหกที่ครองคนดูมายาวนาน

สิ่งที่น่าคิดคือ แม้ The Running Man จะถูกสร้างขึ้นในปี 1987 แต่มันกลับกลายเป็นการพยากรณ์อันแหลมคมต่อยุคปัจจุบัน ในโลกที่เรียลลิตี้โชว์และการเมืองเบลอเส้นแบ่งกัน ผู้คนติดตามความตาย ความรุนแรง และการเหยียดหยามผู้อื่นราวกับเป็นความบันเทิงอันไม่มีวันสิ้นสุด—สิ่งที่ในหนังเคยถูกมองว่า “เกินจริง” กลับกลายเป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันในหน้าจอ
หากมองในเชิงภาพยนตร์ The Running Man อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ—การกำกับของ Paul Michael Glaser (ซึ่งเดิมมาจากวงการทีวี) ถูกวิจารณ์ว่าขาดมิติทางภาพ ขาดการจัดองค์ประกอบที่ลึกซึ้งเท่าที่บทหนังเปิดทางไว้ มันอาจไม่แหลมคมเท่า RoboCop หรือ They Live ที่เป็นเพื่อนร่วมยุคในหมวดไซไฟการเมือง แต่พลังดิบของมันคือการใช้สูตรสำเร็จหนังแอ็กชันมาเป็น Trojan Horse บรรจุแนวคิดวิพากษ์อำนาจและสื่อเข้าไป และอาร์โนลด์เอง แม้ไม่ใช่นักแสดงที่ลึกเชิงจิตวิทยา แต่คาแรกเตอร์ “ผู้ถูกใส่ร้าย” ของเขาก็พอดีเป๊ะกับร่างกายที่ใหญ่โตเหมือนตึก—ชายที่ทั้งโลกปักใจเชื่อว่าเป็นฆาตกร แต่แท้จริงคือผู้ถูกระบบโกหกขยี้จนแทบไร้เสียง

สุดท้าย The Running Man ไม่ได้จบลงที่การฆ่า แต่จบที่การเปิดโปงความจริงต่อสายตาผู้ชม ความจริงนั้นอาจยังไม่ทำให้โลกดีขึ้นในทันที แต่มันคือการฉีกม่านมายาที่ปิดบังผู้คน หนังบอกเราว่า “ความจริง” ไม่ใช่สิ่งที่รัฐหรือสื่อยื่นให้ แต่คือสิ่งที่เราต้องเสาะหา แม้ต้องแลกด้วยเลือดและชีวิตก็ตาม
นี่คือเหตุผลที่ The Running Man ยังคงยืนหยัดในฐานะงานไซไฟเสียดสีการเมืองที่มีความร่วมสมัยเกินคาด ไม่ใช่เพียงหนังอาร์โนลด์ยิงปืนสู้กับตัวร้าย แต่มันคือกระจกที่สะท้อนโลก—โลกที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันนี้

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ