Skip to content

David Bowie : The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars | อัลบั้มร็อคแห่งยุคที่ไม่เคยหลุดจากจักรวาล

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

เมื่อเสียงดนตรีกลายเป็นเรื่องเล่า และอัลบั้มกลายเป็นตำนาน

ย้อนกลับไปปี 1972 David Bowie ได้เขย่าวงการเพลงอังกฤษและโลกทั้งใบ ด้วยอัลบั้ม The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars ที่ไม่ใช่แค่ “อัลบั้มเพลง” แต่คือ “เรื่องราว” แบบ concept album ซึ่งในยุคนั้นยังฟังเพลงกันเป็นชุดจากต้นจนจบ – ผ่านเทป, แผ่นเสียง หรือซีดี ต่างจากยุคปัจจุบันที่ผู้คนมักฟังแบบสุ่มแทร็กใน Spotify หรือ YouTube กันมากกว่า อัลบั้มนี้ไม่เพียงประสบความสำเร็จด้านยอดขาย แต่ยังกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมของยุค Glam Rock และรอยเชื่อมระหว่างดนตรีกับการเล่าเรื่องอย่างลึกซึ้ง

เรื่องราวของ Ziggy Stardust

อัลบั้ม The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars คือผลงานแนว Concept Album ที่เล่าเรื่องเป็นลำดับเหมือนละครเวที — กล่าวถึงโลกในอนาคตอันใกล้ที่กำลังเผชิญกับหายนะทางจักรวาล มนุษย์จะมีเวลาอยู่บนโลกอีกเพียง 5 ปี และในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น ได้มี “มนุษย์ต่างดาว” ปรากฏตัวในร่างของร็อกสตาร์นามว่า Ziggy Stardust

เขาคือ “ผู้ส่งสารจากดวงดาว” — ตัวแทนแห่งความหวังท่ามกลางความโกลาหลของมนุษยชาติ Ziggy ใช้ดนตรีเพื่อสื่อสาร พยายามปลุกพลังของคนหนุ่มสาว และบอกว่ามีใครบางคน (Starman) กำลังเฝ้าดูและพร้อมช่วยเหลือ แต่ในขณะที่ชื่อเสียงและการเคารพบูชาเพิ่มขึ้น Ziggy ก็เริ่มหลงระเริงและถูกทำลายจากแรงกดดัน ความหลงตัวเอง และความเสื่อมของวงการบันเทิง จนกระทั่ง “ดับสูญ” ไปต่อหน้าผู้ชม

เรื่องราวนี้เริ่มต้นในเพลง “Five Years” ที่เล่าในมุมของเด็กคนหนึ่งได้ยินข่าวจากรายการวิทยุว่าโลกจะสิ้นสุดในอีก 5 ปีข้างหน้า — ความตระหนก ผสมความสับสน พาเข้าสู่โลกแห่ง “การนับถอยหลัง” ที่บีบคั้นหัวใจ ในเพลงต่อมา “Soul Love” เราจะได้ยินเสียงของผู้คนมากมายที่พยายามยึดเหนี่ยวกับ “ความรัก” ในแบบต่างๆ ทั้งรักคู่ รักครอบครัว รักในพระเจ้า ซึ่งเป็นเสมือนความหวังสุดท้ายก่อนโลกจะแตก

Ziggy ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการใน “Moonage Daydream” — เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นทั้งสัตว์ร้าย ผู้บุกรุกจากอวกาศ และไอคอนทางเพศที่ไม่ระบุเพศ เป็นภาพแทนของตัวตนที่ลื่นไหล เกินกรอบของมนุษย์ทั่วไป เป็นทั้ง “rock ‘n’ rollin’ bitch” และ “pink-monkey-bird” (คำแสลงสำหรับคนรักร่วมเพศที่เปิดเผย) Ziggy คือภาพแทนของการท้าทายกรอบสังคมทั้งในเรื่องเพศ ศาสนา และดนตรี

ใน “Starman” Ziggy ได้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ผ่านคลื่นวิทยุ บอกว่ามีใครบางคนอยู่บนนั้นพร้อมช่วยเรา เพลงนี้เต็มไปด้วยความหวังและความฝันที่พุ่งสูง ขณะที่ “Lady Stardust” นำเสนอภาพของร็อกสตาร์ลึกลับอีกคน ซึ่งบางคนตีความว่าเป็น Ziggy ในอีกมุมหนึ่ง — ตัวละครที่ผู้ชมใช้สรรพนามว่า “เขา” และ “เธอ” สลับกัน แสดงถึงความไร้เพศตามขนบของโลกใบนี้

เพลง “Star” คือบทสนทนาภายในใจของ Ziggy ที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า การเป็นร็อกสตาร์คุ้มค่าไหม? ชื่อเสียงจะทำให้เขาเป็นที่จดจำได้จริงหรือไม่? ถัดมาใน “Hang On to Yourself” Ziggy ได้ขึ้นเวทีต่อหน้าฝูงชน เพลงนี้เปรียบเทียบพลังทางเพศในดนตรีร็อกที่วนเวียนระหว่างความปรารถนาและการเติมเต็ม แต่ Ziggy เลือกทิ้งจุดสุดยอดทางกายเพื่อไล่ตามชื่อเสียง — ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะของเขาเอง

ในเพลง “Ziggy Stardust” ตัวละครเอกถูกเล่าผ่านสายตาของผู้เล่าเรื่องที่ไม่ชัดเจน อาจจะเป็นเพื่อนในวง ผู้ชม หรือแม้กระทั่ง Ziggy เองที่หลงลืมตัว เขาถูกอธิบายว่าเป็นชายผู้เล่นกีตาร์ด้วยมือซ้าย ผิวขาวซีดแต่หล่อเหลา และมีเสน่ห์ทางเพศแรงกล้า Ziggy ขึ้นสู่จุดสูงสุดพร้อมกับวง The Spiders from Mars แต่เมื่ออีโก้ครอบงำ เขากลับทำลายความสัมพันธ์ทุกอย่าง จนกลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่เหลือเพียงชื่อเสียงร้าง

สุดท้ายใน “Rock ‘n’ Roll Suicide” Ziggy ไม่ได้ตายแบบเลือดสาดบนเวที แต่ร้องขอให้ผู้ชม “ส่งมือมาให้เขา” บอกว่าพวกเขา “ยอดเยี่ยมมาก” ก่อนจะล้มลง เหมือนบอกลาโลกนี้อย่างเปลี่ยวเหงาและขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย

แรงบันดาลใจของเรื่องราว

ตัวละคร Ziggy ได้แรงบันดาลใจจากหลากหลายแหล่ง — หนึ่งคือ Vince Taylor นักร้องร็อกผู้มีปัญหาสุขภาพจิต และเชื่อว่าตนคือมนุษย์ต่างดาว อีกคนคือ Iggy Pop และ Lou Reed ที่มีความเป็นขบถและความลื่นไหลทางเพศสูง Ziggy จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ไอดอล” ที่รวมความเซ็กซี่ เย้ายวน น่าคลั่งไคล้ และถูกทำลายโดยโลกใบเดิมที่เคยเชิดชูเขา

David Bowie ใช้ Ziggy ในการตั้งคำถามเกี่ยวกับ วัฒนธรรมป๊อปและสื่อ — ว่าเราสร้างซูเปอร์สตาร์ขึ้นมาเพื่ออะไร และทำลายพวกเขาเพราะอะไร การที่ Ziggy ค่อยๆ เสื่อมถอยในสายตาคนดู เป็นภาพสะท้อนความจริงอันโหดร้ายในวงการบันเทิง ที่ศิลปินมักถูกคาดหวังให้เป็นมากกว่าคนธรรมดา

ในด้าน ดนตรี อัลบั้มนี้เป็นการผสมผสานหลายแนวเข้าด้วยกัน ได้แก่ Glam Rock (ที่ Bowie เองเป็นผู้นำเทรนด์ในยุคนั้น), Rock & Roll แบบดั้งเดิม, Folk, Blues และแม้แต่กลิ่นอายของ Science Fiction ซึ่งมาจากความหลงใหลของ Bowie ที่มีต่อหนังและวรรณกรรมไซไฟ เช่น A Clockwork Orange, 2001: A Space Odyssey และงานเขียนของ William S. Burroughs หรือ J.G. Ballard

นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมงานกับวงดนตรีแบ็คอัพที่ชื่อว่า The Spiders from Mars ที่ประกอบด้วย Mick Ronson (กีตาร์), Trevor Bolder (เบส), Mick Woodmansey (กลอง) ซึ่งเป็นกลุ่มดนตรีที่ช่วยเสกเสียงกีตาร์ทรงพลังและบรรยากาศแบบกึ่งไซไฟกึ่งเธียเตอร์ให้ Ziggy มีชีวิตจริงๆ

Ziggy Stardust จึงไม่ใช่แค่ตัวละครในเพลง — แต่เป็น ร่างจำแลง ของ David Bowie เอง เป็น alter ego ที่เขาใช้แสดงออกอย่างสุดขั้ว ทั้งเรื่องเพศ การแต่งตัว วาทศิลป์ และการขึ้นเวทีแบบโอเวอร์–เดอะ–ท็อป จนกลายเป็นหนึ่งใน “ไอคอน” สำคัญของวัฒนธรรมดนตรียุค 70s

อัลบั้มที่มีชีวิตต่อในสื่ออื่นๆ

อัลบั้มนี้ไม่ได้อยู่แค่บนแผ่นเสียง – แต่ขยายออกไปถึงภาพยนตร์, วรรณกรรม และวัฒนธรรมป็อป เช่นในภาพยนตร์ The Martian, Guardians of the Galaxy, หรือแม้แต่ฉากในอนิเมะและเกมที่อ้างอิง Ziggy Stardust และการแต่งกายของ Bowie ในยุคนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจของแฟชั่นและคาแร็กเตอร์ไซไฟหลายตัว รวมถึงหนัง Velvet Goldmine ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Ziggy โดยตรง

สรุป

The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars คืออัลบั้มที่เปลี่ยนแนวทางการเล่าเรื่องในดนตรีร็อกไปตลอดกาล มันไม่ได้เป็นแค่ชุดเพลง แต่เป็นการเดินทางทางอารมณ์ วรรณกรรม และไซไฟ ผ่านตัวละคร Ziggy ที่ทั้งโดดเด่นและเจ็บปวด นี่คืองานชิ้นเอกของ David Bowie ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนร็อกยุคเก่า หรือคนรุ่นใหม่ที่กำลังค้นหาความหมายของเสียงเพลง – Ziggy Stardust จะยังคงเปล่งแสงอยู่ในจักรวาลดนตรีตลอดไป

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole