Skip to content

[รีวิว] เปนชู้กับผี : The Unseeable (2006) | วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และเงาที่ซ่อนความเจ็บปวดของหญิงไทยในเรือนไม้ลึกเร้น

เวลาที่ใช้อ่าน : < 1 นาที

มีผู้กำกับไม่กี่คนในวงการหนังไทยที่กล้าหันหลังให้ลายเซ็นของตนเองอย่างสิ้นเชิงเพื่อสร้าง “ภาษาภาพยนตร์” แบบใหม่ และ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ในปี 2549 ก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากโลกเหนือจริงฉูดฉาดของ ฟ้าทะลายโจร และ หมานคร เขากลับเลือกเส้นทางตรงข้ามใน เปนชู้กับผี—ผลงานลำดับที่ 3 ซึ่งยอมลดทอนสีสันเพื่อแลกกับเงาสลัวที่ดูล้าสมัยราวภาพบนหน้าปกการ์ตูนผีเล่มละบาท เพดานบ้านที่ฟุ้งฝุ่น เงาที่ทอดยาวในลานเรือน และการเคลื่อนไหวที่เงียบกริบจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ล้วนเป็นผิวสัมผัสที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีอารมณ์แบบ “ผีไทยแท้” ซึ่งไม่ต้องยืมมือจากกระแสเอเซียฮอร์เรอร์(horror)ยุค The Ring หรือ Ju-On ที่กำลังครองตลาดในเวลานั้น

แม้บทภาพยนตร์จะเป็นฝีมือของ ก้องเกียรติ โขมศิริ (ผู้ซึ่งต่อมาจะสลับบทบาทกับวิศิษฏ์ใน เฉือน ปี 2552) แต่แก่นของหนังยังเต็มไปด้วยความหมกมุ่นแบบวิศิษฏ์—ความเชื่อพื้นบ้าน ความทรงจำแบบเรือนไทยเก่า ความงามอันขมเศร้าที่ซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงไม่เคยเป็นเจ้าของชีวิตตนเอง หนังจบลงด้วยการมอบเครดิตพิเศษให้ “ครูเหม เวชกร” ราวกับเป็นการบอกว่า ทั้งเรื่องนี้คือการชุบชีวิตภาพผีในสายตาคนไทยแบบดั้งเดิมให้กลับมามีเสียงอีกครั้ง

แสง เงา และเรือนร้างที่เหมือนคำสาป

แทนที่จะใช้ “ตุ้งแช่” หรือจั้มป์สแกร์ตามสูตรสำเร็จ วิศิษฏ์เลือกกลวิธีที่ย้อนยุคอย่างที่สุด—แสงหม่น ๆ เงามืดที่เคลื่อนไปพร้อมตัวละคร และการถ่ายทำที่พิถีพิถันด้วย “กล้องเดียว” ในหลายฉาก การเลือกถ่ายต่อเนื่องโดยไม่ตัดสลับกล้องคู่ ทำให้ทุกความเคลื่อนไหวของบ้านดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายใจอยู่เงียบ ๆ ในมุมมืด ภาพผีที่โผล่มาไม่ใช่เพื่อสะดุ้ง แต่เพื่อบอกเราว่าทุกคนที่เดินหลงเข้ามาในบ้านหลังนี้ ล้วนติดอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน—ความโดดเดี่ยว ความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนอง และอดีตที่ไม่มีวันถูกเยียวยา

การวางแบบ “ให้ผีอยู่ในฉากหลัง” เป็นลูกเล่นที่หนังไทยช่วงนั้นแทบไม่มีใครทำ ความสยองไม่ได้เกิดจากเงาที่กระโดดใส่คนดู แต่เกิดจากการที่กล้องค่อย ๆ เลื่อนผ่านโถงบ้านช้า ๆ และปล่อยให้ดวงตาของคนดูค้นหาความผิดปกติเอาเอง ทุกครั้งที่พบสิ่งไม่ชอบมาพากล—เงาที่ไม่ตรงกับเจ้าของ, ตัวละครที่นิ่งเกินไป, หรือการเคลื่อนไหวที่ไม่เข้ากับจังหวะ—คือความสยองที่เกิดจากการ “รับรู้” มากกว่า “ตกใจ” วิศิษฏ์แสดงให้เห็นว่าผีไทยไม่ต้องส่งเสียงดัง ก็ทำให้เราขนลุกได้ด้วยลมหายใจเพียงเส้นเดียว

โครงเรื่องที่กระชับ และการหักมุมที่เจ็บปวดกว่าความกลัว

ความยาวเพียง 97 นาทีถูกใช้ด้วยความมั่นใจ ไม่มีฉากฟุ่มเฟือย หนังห่อหุ้มคนดูไว้ด้วยบรรยากาศมากกว่าพล็อต แต่เมื่อต้องเล่าเรื่อง ก็เล่าอย่างมีจังหวะที่แม่นยำ ความอยากรู้ว่า “เกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้” ถูกผลักให้ค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดเฉลยที่ทั้ง “ยุติธรรม” กับเมล็ดพันธุ์ที่หนังหว่านไว้ และ “โหดร้าย” กับตัวละครที่ไม่เคยรู้ว่าตนเองกำลังกอดศพของใครอยู่กันแน่

การเป็นแม่ที่ตามหาสามีหายตัวไปของสาวท้องแก่—ตัวละครเอก—ถูกหักล้างด้วยชะตากรรมอันบิดเบี้ยวของบ้านทั้งหลัง ความรักที่แปดเปื้อน การครอบครองร่างกายผู้หญิง และเงื่อนไขทางสังคมที่ทำให้พวกเธอไม่มีทางเดินไปไหนได้นอกจาก “อยู่เป็นผี” ในแบบใดแบบหนึ่ง หนังเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องผี แต่เป็นบทวิจารณ์ความเป็นหญิงในโครงสร้างสังคมไทยยุคเก่าอย่างแยบยล

และที่งดงามที่สุด คือการที่ภายหลังคำเฉลย เราไม่อาจฟันธงได้ว่าคุณนายรัญจวน “ยังอยู่” หรือ “ตายไปนานแล้ว” กันแน่—หนังเปิดพื้นที่ให้การตีความแบบผีไทยที่ผีอาจเป็นเงาของใจคนมากกว่าเงาของวิญญาณจริง ๆ

ภาพจำของ “ผีไทยยุควรรณศิลป์”

ในยุคที่ตลาดนิยมผีผมยาวหน้าเลือนแบบญี่ปุ่น เปนชู้กับผี เลือกจะสวนกระแสอย่างเด็ดเดี่ยว มันไม่ใช่ความสยองแบบสากล หากแต่เป็นความสยองแบบไทยที่มีรสชาติเป็นของตนเอง ทั้งความหดหู่ ความคิดถึง และความบอบบางของผู้หญิงที่ถูกกักขังในบ้านที่เหมือนป่าช้าแห่งความทรงจำ

นี่คือหนังผีที่ไม่ไล่คนดูด้วยเสียง แต่สะกดด้วยความนิ่ง
ไม่ทำให้กลัวเพียงชั่ววูบ แต่ค้างอยู่ในหัวเหมือนเรื่องเล่าริมเตียงของคืนที่ไฟดับ
เป็นงานที่พิสูจน์ว่าภูมิทัศน์ผีไทยไม่ได้สูญหายไปไหน—แค่รอผู้กำกับที่กล้ามองมันด้วยศรัทธาอย่างจริงใจ

และวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ก็ทำเช่นนั้นได้อย่างงดงามที่สุดในผลงานเรื่องนี้

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole