Skip to content

[รีวิว] KILL BILL: Vol. 1 & Vol. 2 (นางฟ้าซามูไร) | เมื่อความแค้นกลายเป็นบทกวีแห่งภาพยนตร์

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

เควนติน ทารันติโน่ ไม่ได้สร้าง “Kill Bill” เพื่อฆ่าใคร แต่เพื่อคืนชีพให้ศิลปะการทำหนังทั้งโลก เขาไม่ได้เพียงกำกับหนัง “ล้างแค้น” ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกหักหลัง แต่เขาออกแบบบทกวีแห่งภาพยนตร์ที่ขุดเอารากของหนังแอ็กชันตะวันออก–ตะวันตกมาหลอมรวมเป็นเลือดเดียวกัน เรื่องราวของ The Bride หรือ Beatrix Kiddo (Uma Thurman) จึงกลายเป็นมากกว่าเรื่องราวการล้างแค้นของหญิงสาวที่ถูกยิงกลางหัวในวันวิวาห์ แต่มันคือ “หอศิลป์เคลื่อนไหว” ที่ทารันติโน่ใช้กล้องและฟิล์มแทนพู่กัน วาดความรักของเขาที่มีต่อวงการภาพยนตร์ทั้งหมดลงไปในทุกเฟรม

I. ความแค้นในรูปของศิลปะ

เมื่อ Kill Bill: Vol.1 เข้าฉายในปี 2003 มันคือระเบิดลูกใหญ่ที่แตกกลางวงการหนังอเมริกันยุคหลัง The Matrix หนังเต็มไปด้วยการตัดต่อแบบอนิเมะ การต่อสู้ที่รุนแรงจนกลายเป็นภาพนามธรรมของเลือดที่สาดกระเซ็นราวกับพู่กันหมึกจีนบนผืนผ้าใบขาวดำ และเสียงดนตรีที่คละเคล้าเอาเพลงจากหนังญี่ปุ่น ยุโรป เม็กซิกัน และฮอลลีวูดยุค 70 มาผสมกันราวกับดีเจที่กำลังเปิดแผ่นให้โลกทั้งใบเต้นไปกับการฆ่าที่งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

ทารันติโน่กล่าวไว้ว่า “มันไม่ใช่หนังล้างแค้น แต่มันคือหนังที่ผมทำเพื่อหนังที่ผมรัก” — และเราจะเห็นคำพูดนั้นแจ่มชัดในทุกอณู ตั้งแต่ฉากเปิดที่ The Bride นอนแน่นิ่งในชุดเจ้าสาว ไปจนถึงการลุกขึ้นฟื้นคืนจากโคม่าแล้วเริ่มต้นภารกิจ “Death List Five” ที่เธอต้องกำจัดอดีตเพื่อนร่วมทีม “Deadly Viper Assassination Squad” ทีละคนราวกับพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์

II. การคาราวะในรูปของเลือด

หนังเรื่องนี้คือการคารวะครั้งใหญ่ต่อประวัติศาสตร์ภาพยนตร์โลกในทุกแง่มุม — ทั้งในเชิงเนื้อหาและภาษาภาพยนตร์ ทารันติโน่หยิบแรงบันดาลใจจากหนังซามูไรของ Akira Kurosawa, หนังดาบเลือดสาดอย่าง Lady Snowblood, หนังคาราเต้ของ Shaw Brothers, หนังคาวบอยอิตาเลียนของ Sergio Leone และหนังบู๊หญิงจากฮ่องกงยุค 70 อย่าง The 36th Chamber of Shaolin มาผสมกับจังหวะการเล่าแบบสมัยใหม่จนเกิดสิ่งใหม่ที่ไม่ใช่ “เลียนแบบ” แต่เป็น “บทสวดแห่งการระลึกถึง”ฉาก “House of Blue Leaves” คือตัวอย่างสูงสุดของการคารวะนี้ — มันทั้งเป็นออร่าของ Lady Snowblood ในภาพหิมะโปรยขาวดำ, มีลีลาของ Bruce Lee ในชุดสีเหลืองจาก Game of Death, มีการตัดต่อและการชะงักของเสียงแบบหนังฮ่องกงยุค 70, และยังมีโครงสร้างของการต่อสู้ที่เหมือนพิธีกรรมในโรงเรียนดาบญี่ปุ่นยุคคลาสสิก ทุกคนในวงการต่างรู้ว่านี่คือฉากที่ ทารันติโน่ประกาศตัวเป็นศิษย์ผู้สืบทอดความงามของหนังบู๊ทั้งโลก

III. จาก Vol.1 สู่ Vol.2 — จากเลือดสาดสู่ความเงียบสงัด

Kill Bill: Vol.2 (2004) เปลี่ยนโทนทั้งหมดจากความรุนแรงไปสู่ความนิ่งสงบราวกับการเปลี่ยนเครื่องดนตรีจากกลองเป็นพิณ หลังจาก The Bride เผชิญหน้ากับโอเร็น อิชิอิ (Lucy Liu) ใน Vol.1 เธอเดินทางต่อไปเพื่อสะสางบัญชีอีกสามคน — Budd, Elle Driver และในที่สุดก็ Bill เอง

ทารันติโน่ใน Vol.2 เหมือนกำลังย้อนกลับไปสู่รากของหนังคาวบอยสปาเก็ตตี้และหนังพูดเยอะยุค 60’s ที่เขารัก เขาใช้เฟรมกว้างแบบ Leone, ใช้แสงอาทิตย์ทะลุฝุ่นทรายในฉากฝังทั้งเป็นที่อาจเป็นหนึ่งในฉากที่ตึงเครียดที่สุดในประวัติศาสตร์หนังอเมริกัน และใช้บทสนทนาแบบ Western Poetic Dialogue ที่ชวนให้เราหยุดฟังแทนที่จะมอง

ขณะที่ Vol.1 พูดด้วยการฟันดาบ Vol.2 พูดด้วยสายตาและคำพูด การพบกันของ Beatrix และ Bill ในฉากสุดท้ายจึงไม่ใช่ “การต่อสู้” หากเป็น “การให้อภัยที่ช้าและเจ็บปวด” ดนตรีของ Ennio Morricone ล่องลอยเหมือนบทกลอน และเมื่อ The Bride ร้องไห้ในห้องน้ำหลังจากกอดลูกได้อีกครั้ง เรารู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ตอนจบของหนังล้างแค้น แต่มันคือการสิ้นสุดของชีวิตหนึ่งและการเริ่มต้นของอีกชีวิตหนึ่ง

IV. The Whole Bloody Affair — ตำนานที่ไม่เคยสมบูรณ์

แม้ทั้งสองภาคจะฉายห่างกันไม่กี่เดือน แต่ทารันติโน่ตั้งใจมาตั้งแต่แรกให้มันเป็น “หนังเรื่องเดียว” ความยาวกว่า 4 ชั่วโมงในชื่อ Kill Bill: The Whole Bloody Affair ซึ่งรวมทุกช็อตที่ถูกตัดออก ทั้งฉากต่อสู้ที่ยาวขึ้น การเชื่อมเสียงที่ราบรื่น และโทนภาพที่ต่อเนื่องมากกว่าเดิมจนกระทั่งปี 2025 ทาง Miramax และ Tarantino Archives ประกาศว่า The Whole Bloody Affair จะได้กลับมาฉายอย่างเป็นทางการในโรงภาพยนตร์อเมริกาอีกครั้ง — เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมจะได้เห็นเวอร์ชันสมบูรณ์ตามที่ผู้กำกับตั้งใจในปี 2004 หนังฉบับนี้ไม่ได้เพิ่มฉากใหม่ แต่ “คืนจังหวะ” ดั้งเดิมให้คนดูได้สัมผัสอารมณ์ที่ไหลต่อเนื่องโดยไม่มีจังหวะขาดระหว่าง Vol.1 และ Vol.2 อีกต่อไป เหมือนเราได้ฟังซิมโฟนีจากต้นฉบับที่ไม่เคยถูกตัดตอน

V. Trivia — เล่าขานหลังม่านเลือด

ว่ากันว่าทารันติโน่กับอูม่า เธอร์แมนร่วมกันสร้างคาแรกเตอร์ The Bride มาตั้งแต่ปี 1994 ระหว่างถ่าย Pulp Fiction เขาให้เธอเป็นทั้งแรงบันดาลใจและที่ปรึกษาในทุกขั้นตอน จนถึงขั้นที่ชื่อ “Beatrix Kiddo” มาจากการผสมระหว่างชื่อเล่นจริงของเธอและตัวละครในนิยายอังกฤษยุค 70 ส่วนดาบ Hattori Hanzo นั้น ทารันติโน่ให้ Sonny Chiba นักแสดงระดับตำนานจาก The Street Fighter มารับบทเพื่อเป็นเกียรติแก่หนังบู๊ญี่ปุ่นยุคทองที่เขาหลงใหล

ระหว่างถ่ายทำฉากรถพุ่งใน Vol.2 อูม่าประสบอุบัติเหตุจริงจนเกือบเสียชีวิต ทารันติโน่ขับรถให้เองในเทกนั้น และต่อมาเขากล่าวว่า “มันคือความผิดพลาดที่หลอกหลอนผมมาจนถึงทุกวันนี้” — แต่ทั้งคู่ก็กลับมาร่วมพูดถึงเรื่องนี้ในทำนองให้อภัยกันในงานประกาศรางวัลหลายปีต่อมา

อีกเรื่องเล่าว่า ฉากอนิเมะของโอเร็น อิชิอิ ทารันติโน่ให้สตูดิโอ Production I.G. จากญี่ปุ่นสร้างขึ้นทั้งหมดโดยใช้วิธีวาดมือแบบยุค 80 เพื่อให้สัมผัส “ขรุขระและเลือดข้น” เหมือนหนังโบราณ ไม่ใช่กราฟิกคมกริบแบบอนิเมะสมัยใหม่

VI. การหลอมรวมของตะวันออกและตะวันตก

“Kill Bill” คือหนังที่อยู่ระหว่างขอบฟ้าแห่งโลกตะวันตกและรากลึกของโลกตะวันออก มันไม่ใช่แค่หนังที่พูดภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ แต่เป็นหนังที่พูดภาษาของ “ความหลงใหลในภาพยนตร์” ทั้งโลก ทารันติโน่สร้างมันขึ้นเหมือนพิธีกรรมของคนดูหนังที่ไม่เคยลืมความสุขตอนดู Shaw Brothers, Bruce Lee, Kurosawa หรือ Sergio Leone

ในแง่หนึ่ง The Bride คือ “นักเรียนของโรงหนังทั้งโลก” และการเดินทางล้างแค้นของเธอก็เปรียบได้กับการเรียนจบจากทุกสำนักของศิลปะแห่งภาพยนตร์ — ตั้งแต่ดาบญี่ปุ่น ปืนคาวบอย ไปจนถึงเสียงเพลงเม็กซิกัน และจบลงที่ความเงียบของหัวใจ

VII. The Bride — สัญลักษณ์แห่งความเป็นหญิงและการเกิดใหม่

The Bride ไม่ได้เป็นเพียงนักฆ่าที่ลุกขึ้นมาล้างแค้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของ “การกำเนิดใหม่ของสตรี” ในโลกภาพยนตร์ที่มักวางผู้หญิงไว้ในฐานะเหยื่อหรือวัตถุแห่งแรงปรารถนา เธอเริ่มต้นเรื่องในฐานะหญิงที่ถูกทำลาย ถูกยิง ถูกพรากลูก และถูกทำให้กลายเป็นสิ่งไร้ชีวิต ทว่าการฟื้นคืนของเธอไม่ใช่เพียงการแก้แค้น หากเป็นการ “ฟื้นคืนอำนาจ” ที่ถูกช่วงชิงไปจากเพศหญิงมาช้านาน ในเชิงสัญลักษณ์ เธอเดินทางผ่านความตาย—ถูกฝังทั้งเป็นและฟื้นขึ้นมา—เหมือนการคลอดตัวเองจากดิน กลายเป็นภาพแทนของเทพีผู้ถือดาบแห่งความยุติธรรมที่เกิดจากเลือดและเจ็บปวด การเผชิญหน้ากับ Bill ในตอนจบไม่ใช่การทำลายผู้ชาย หากเป็นการปิดวงจรแห่งอำนาจที่ข่มเธอมาตลอด หนังจบลงด้วยฉากเธอร้องไห้กอดลูก ซึ่งไม่ใช่น้ำตาแห่งความอ่อนแอ แต่คือพิธีชำระบาปและการประกาศว่าเธอได้เกิดใหม่ในฐานะ “มนุษย์ที่สมบูรณ์” — ทั้งในฐานะแม่ หญิง และนักรบในโลกที่ไม่เหลือที่ให้หญิงธรรมดาอีกต่อไป

VIII. บทส่งท้าย

เมื่อย้อนมองจากปี 2004 ถึงปัจจุบัน “Kill Bill” ยังคงเป็นหนังที่ยืนเดี่ยวอยู่กลางพายุของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป มันทั้งเป็นจดหมายรักถึงหนังเก่าและเป็นแรงบันดาลใจให้หนังยุคใหม่ หนังเรื่องนี้ไม่แก่ ไม่ตาย และไม่ยอมจบ เพราะความแค้นของ The Bride ไม่ได้เป็นของเธอคนเดียว — มันคือความแค้นของคนรักหนังทั้งโลกที่ไม่ยอมให้ความงดงามของภาพยนตร์สูญสลายไปในยุคของความเร่งรีบและความจางชืดและเมื่อ The Whole Bloody Affair กลับมาฉายในปลายปี 2025 บางทีเราทุกคนคงจะได้ “ล้างแค้นร่วมกันอีกครั้ง” — ต่อความลืมเลือนของโลก เพื่อระลึกว่าครั้งหนึ่ง เควนติน ทารันติโน่ เคยสร้างหนังที่รวมเลือดทุกสายพันธุ์ของศิลปะภาพยนตร์ไว้ในหยดเดียว ที่ทั้งโหดร้าย งดงาม และเป็นนิรันดร์

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole