Skip to content

(Don’t Fear) The Reaper: Blue Öyster Cult | บทเพลงแห่งความรักชั่วนิรันดร์

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

เกริ่นนำ: อาร์เปจจิโอที่เป็นอมตะและเสียงระฆังอันลี้ลับ

ทันทีที่สายกีตาร์โปร่งเริ่มบรรเลงคอร์ดอาร์เปจจิโอ (Arpeggio) ที่เยือกเย็นและชวนฝัน ความรู้สึกของการถูกดึงดูดเข้าสู่โลกอีกมิติหนึ่งก็พลันเข้าครอบงำผู้ฟังอย่างสมบูรณ์ บทเพลง “(Don’t Fear) The Reaper” ไม่ใช่แค่เพลงฮิตติดชาร์ตของวง Blue Öyster Cult ในปี 1976 เท่านั้น แต่คือชิ้นงานศิลปะทางดนตรีที่ผสมผสานความซับซ้อนของ Progressive Rock เข้ากับความเรียบง่ายที่บาดลึกของ Pop Rock ได้อย่างลงตัว มันเป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความงามและความหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน เป็นการเชิญชวนให้เราหยุดคิดถึงสิ่งที่เราทุกคนต้องเผชิญในที่สุด นั่นคือความตาย แต่เป็นการเชื้อเชิญที่มาพร้อมกับความอบอุ่นใจอันน่าประหลาด เสียงกระดิ่งวัว (Cowbell) ที่กระหน่ำอย่างมีจังหวะกลายเป็นลายเซ็นที่โดดเด่นและสร้างตำนานเสียดสีให้กับเพลงนี้ ทว่าแก่นแท้ของมันคือความยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือทุกเรื่องตลกขบขัน

กำเนิดริฟฟ์ก้องโลก: เมื่อความตายกระซิบข้างหู

เบื้องหลังการกำเนิดของเพลงที่ทรงอิทธิพลนี้มาจากความคิดคำนึงที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งของ Donald “Buck Dharma” Roeser มือกีตาร์และนักร้องนำของวง ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์หลักของเพลงนี้ ในช่วงเวลาที่เขาเขียนเพลงนี้ Buck Dharma กำลังคิดถึงการตายของตนเอง เขาไม่ได้กำลังป่วยหรือเผชิญหน้ากับความตายอย่างกะทันหัน แต่เขากำลังพิจารณาถึงความจริงสากลที่ว่าทุกคนจะต้องตาย และเมื่อถึงเวลานั้นมันจะเป็นอย่างไร

เขาเล่าว่าตอนแรกเขากังวลว่าเพื่อนร่วมวงอาจจะมองว่าเนื้อหาเกี่ยวกับความตายนั้นหดหู่เกินไปสำหรับเพลงร็อก แต่ในท้ายที่สุดสิ่งที่เขาต้องการสื่อสารออกมาคือ “ไม่ใช่ความกลัว” แต่คือ “การยอมรับ” และ “ความโรแมนติก” ที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดเรื่องความตาย แทนที่จะเป็นเพลงเศร้าสร้อยมืดมัว มันกลับกลายเป็นบทเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความรักนิรันดร์ การเรียบเรียงดนตรีนั้นถือเป็นอัจฉริยะ ตัวริฟฟ์กีตาร์หลักที่ใช้การเล่นแบบอาร์เปจจิโอที่ว่ามาถูกขับเน้นด้วยการใช้กีตาร์สองตัวเล่นทับซ้อนกันเพื่อสร้างความหนาแน่นและมิติที่โหยหวนคล้ายเสียงก้องจากแดนไกล ขณะที่การใช้เสียงร้องนำที่นุ่มนวลของ Roeser เองได้เข้ามาลดทอนความเข้มข้นของดนตรีฮาร์ดร็อก ทำให้เพลงนี้มีเนื้อสัมผัสที่พิเศษและเข้าถึงผู้ฟังในวงกว้างได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน

สารัตถะ: บทกวีโรแมนติกเหนือชีวิต

ความหมายหลักของ “(Don’t Fear) The Reaper” คือการเสนอแนวคิดเรื่อง ความรักที่คงอยู่ตลอดไปแม้หลังความตาย แม้ในภาษาอังกฤษคำว่า “The Reaper” จะหมายถึงยมทูตหรือเพชฌฆาต แต่ในบริบทของเพลงนี้ เขาไม่ได้มาเพื่อลงโทษ แต่มาเพื่อเป็นพาหะนำพาคนรักทั้งสองไปสู่สถานที่ซึ่งความรักของพวกเขาจะยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์

Buck Dharma ได้ยอมรับว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากโศกนาฏกรรมความรักอมตะอย่าง โรมิโอและจูเลียต โดยเฉพาะในท่อนที่ร้องว่า “Come on baby… take my hand / Don’t fear the reaper / We’ll be able to fly” มันคือการเชิญชวนคนรักให้ก้าวข้ามผ่านความหวาดกลัวต่อความตาย เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันในอีกภพภูมิหนึ่ง

ท่อนที่ลึกซึ้งที่สุดคือการพยายามสร้างความสมมาตรระหว่างช่วงชีวิตมนุษย์กับกาลเวลาจักรวาล ดังที่กล่าวถึง “สี่หมื่นปี” (Forty thousand years) เป็นเพียงเศษเสี้ยวของเวลาในชั่วชีวิตนิรันดร์เมื่อเทียบกับความรักของพวกเขา เพลงนี้จึงเป็นข้อถกเถียงอันทรงพลังที่ว่า ชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียงแค่ฉากละครสั้นๆ แต่ความรักแท้จริงต่างหากที่เป็นนิรันดร์ การตายจึงไม่ใช่จุดจบที่น่ากลัว แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านสู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคนรักที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั่นเอง

แปลบทเพลง (Don’t Fear) The Reaper

All our times have come | เวลาของเรามาถึงแล้ว
Here, but now they’re gone | อยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้มันก็ผ่านไป
Seasons don’t fear the Reaper | ฤดูกาลไม่เคยกลัวมัจจุราช
Nor do the wind, the sun, or the rain | เหมือนกับสายลม แสงแดด หรือสายฝนก็ไม่หวั่นกลัว
Come on, baby | มานี่สิ ที่รัก
(Don’t fear the Reaper) Baby, take my hand | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย) จับมือฉันไว้
(Don’t fear the Reaper) We’ll be able to fly | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย) แล้วเราจะโบยบินไปด้วยกัน
(Don’t fear the Reaper) Baby, I’m your man | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย) ที่รัก ฉันคือคนของเธอ
La, la, la, la, la | ลา ลา ลา ลา ลา
La, la, la, la, la | ลา ลา ลา ลา ลา

Valentine is done | วันวาเลนไทน์จบลงแล้ว
Here, but now they’re gone | อยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้เขาก็จากไป
Romeo and Juliet | โรมีโอและจูเลียต
Are together in eternity (Romeo and Juliet) | อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ (โรมีโอและจูเลียต)
40,000 men and women everyday (like Romeo and Juliet) | ผู้คนสี่หมื่นคนทุกวัน (เหมือนโรมีโอและจูเลียต)
40,000 men and women everyday (redefine happiness) | ผู้คนสี่หมื่นคนทุกวัน (นิยามความสุขกันใหม่)
Another 40,000 coming everyday | และอีกสี่หมื่นคนที่กำลังจะตามมาในแต่ละวัน
Come on, baby | มานี่สิ ที่รัก
(Don’t fear the Reaper) Baby, take my hand | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย) จับมือฉันไว้
(Don’t fear the Reaper) We’ll be able to fly | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย) แล้วเราจะได้โบยบินไป
(Don’t fear the Reaper) Baby, I’m your man | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย) ที่รัก ฉันคือคนของเธอ
La, la, la, la, la | ลา ลา ลา ลา ลา
La, la, la, la, la | ลา ลา ลา ลา ลา

Love of two is one | รักของสองกลายเป็นหนึ่งเดียว
Here, but now they’re gone | อยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ลาลับไป
Came the last night of sadness | คืนสุดท้ายแห่งความเศร้าได้มาถึง
And it was clear she couldn’t go on | และมันชัดเจนว่าเธอไม่อาจอยู่ต่อไปได้อีก
And the door was open and the wind appeared | ประตูเปิดออก แล้วสายลมก็พัดผ่านมา
The candles blew and then disappeared | เปลวเทียนดับลง แล้วก็หายไป
The curtains flew and then he appeared | ม่านปลิวไหว แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้น
Come on, baby | มานี่สิ ที่รัก
(And she had no fear) And she ran to him | (และเธอไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป) เธอวิ่งเข้าไปหาเขา
(Then they started to fly) They looked backward and said goodbye | (แล้วทั้งคู่เริ่มโบยบิน) พวกเขาหันกลับไปมองแล้วเอ่ยคำอำลา
(She had become like they are) She had taken his hand | (เธอกลายเป็นเหมือนกับเขาแล้ว) เธอจับมือของเขาไว้
(She had become like they are) Come on, baby | (เธอกลายเป็นเหมือนกับเขาแล้ว) มานี่สิ ที่รัก
(Don’t fear the Reaper) | (อย่ากลัวมัจจุราชเลย)


Love is a flower and a fire | ความรักคือดอกไม้และเปลวไฟ Love is the answer | ความรักคือคำตอบ
(Love is the answer) | (ความรักคือคำตอบ)
Come on baby (Don’t fear the Reaper) | มาเถิดที่รัก (อย่าหวาดกลัวยมทูตเลย)
Baby take my hand (Don’t fear the Reaper) | ที่รัก จับมือฉันไว้ (อย่าหวาดกลัวยมทูตเลย)
We’ll be able to fly (Don’t fear the Reaper) | เราจะโบยบินไปได้ (อย่าหวาดกลัวยมทูตเลย)
(Cowbell) | (กระดิ่งวัว)

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole