Skip to content

[รีวิว] โบโกตา: เมืองคนหลง (Bogota: City of the Lost) | การจมดิ่งสู่หุบเหวแห่งความทะเยอทะยาน

เวลาที่ใช้อ่าน : < 1 นาที

ภาพยนตร์ “โบโกตา: เมืองคนหลง” (Bogota: City of the Lost / 보고타: 잃어버린 도시) อาจไม่ใช่ภาพยนตร์อาชญากรรมฟอร์มยักษ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นเสมือนกรณีศึกษาที่น่าสนใจถึงความทะเยอทะยานที่พยายามจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง แต่กลับสะดุดล้มระหว่างทาง มันคือภาพยนตร์ที่กล้าพาคนดูเข้าสู่ดินแดนที่ห่างไกลและอันตรายอย่างโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย เพื่อเล่าเรื่องราวการดิ้นรนของ กุกฮี (รับบทโดย ซงจุงกิ) ชายเกาหลีที่มาถึงเมืองนี้พร้อมกับความหวังอันริบหรี่ แต่สุดท้ายกลับต้องก่อร่างสร้างตัวในตลาดมืดใต้ดินที่กฎหมายและความอยู่รอดเป็นเรื่องเดียวกัน

หากพิจารณาจากแก่นเรื่องและฉากหลังอันแปลกใหม่สำหรับภาพยนตร์เกาหลี นี่คือความพยายามที่ชัดเจนในการ “เดินไปในเส้นทางที่แตกต่าง” (다른 길을 걷고자 하는 야심) ตามที่นักวิจารณ์เกาหลีได้กล่าวไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามฉีกตัวออกจากสูตรสำเร็จของหนังแก๊งสเตอร์เกาหลีแบบดั้งเดิม โดยการผสมผสานองค์ประกอบของภาพยนตร์แนวเอาชีวิตรอด (Survival) และการไต่เต้า (Rise to Power) เข้ากับฉากหลังทางวัฒนธรรมและภาษาที่หลากหลายในละตินอเมริกา ซึ่งเป็นจุดที่น่าชื่นชมในแง่ของความกล้าหาญในการผลิต

การก่อร่างสร้างตัวในเงามืด และการหลงทางของโครงสร้าง

เรื่องราวของกุกฮีเริ่มต้นจากการเป็นผู้อพยพที่ไม่มีอะไรเลย ต้องใช้ชีวิตในสภาพที่ไร้ความปรานีของชุมชนแออัด และได้เรียนรู้ที่จะควบคุมและใช้ประโยชน์จากตลาดมืด ตั้งแต่การค้าเล็กๆ ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ การเดินทางของเขาคือการสำรวจจิตวิญญาณของทุนนิยมสุดโต่ง ที่ความสำเร็จหมายถึงการก้าวข้ามศีลธรรมและความผูกพันใดๆ ตัวละครของกุกฮีจึงน่าสนใจในฐานะของ “คนนอก” ที่มาท้าทายอำนาจเก่าในดินแดนที่ไม่ใช่บ้านของตนเอง ซึ่งซงจุงกิก็ถ่ายทอดความมุ่งมั่นที่ปนเปื้อนความมืดมิดออกมาได้ไม่เลว

ทว่า ปัญหาใหญ่ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เผชิญหน้าอย่างจัง คือ ความล้มเหลวในการควบคุมความทะเยอทะยานของตัวเอง ในเชิงโครงสร้างและการกำกับ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีปัญหาหลายอย่างตั้งแต่บทไปจนถึงการตัดต่อ

จุดแตกหักที่ชัดเจนคือ “ความไม่ต่อเนื่องของการเล่าเรื่อง” ผู้กำกับ คิม ซอง-เจ พยายามอัดเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเข้าไปในบท แต่การเปลี่ยนผ่านระหว่างฉากและองก์ต่างๆ กลับรู้สึกสะดุด ไม่ราบรื่น ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเรื่องราวกระโดดข้ามช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาตัวละครหรือความสัมพันธ์บางอย่างไป สิ่งนี้ทำให้การยกระดับความเข้มข้นทางอารมณ์และการคลายปมทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร เราเห็นว่ากุกฮีประสบความสำเร็จ แต่เรากลับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของการแลกเปลี่ยนที่แท้จริง

เมื่อ “เสียง” และ “จังหวะ” ไม่สอดคล้อง

ยิ่งไปกว่านั้น องค์ประกอบทางเทคนิคที่ควรเป็นหัวใจสำคัญของหนังอาชญากรรมกลับถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ดนตรีประกอบ ในหลายๆ ฉากสำคัญ ดนตรีที่ถูกเลือกมาใช้ไม่สามารถเสริมสร้างบรรยากาศแห่งความตึงเครียดหรือความเร่งรีบได้ตามที่ควรจะเป็น บางครั้งดนตรีก็เข้ามาช้าไป หรือออกเร็วไปอย่างไม่เป็นจังหวะ ทำให้ฉากที่ควรจะทรงพลังกลับดูแบนราบลงไปอย่างน่าเสียดาย ราวกับว่าผู้กำกับ “หลงทางระหว่างการคุมแผนที่” ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

ในแง่ของธีม ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามพูดถึงการพลัดถิ่น ความเป็นคนชายขอบ และการแสวงหา “โอกาสสุดท้าย” ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แต่เมื่อเทียบกับหนังที่มีธีมคล้ายกัน ภาพยนตร์กลับขาดน้ำหนักและความลึกซึ้งที่จำเป็นในการพาผู้ชมให้เข้าใจถึงความสิ้นหวังและการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวละครอย่างแท้จริง

บทสรุป: ความกล้าที่ล้มเหลวในการเป็นผลงานชิ้นเอก

“โบโกตา: เมืองคนหลง” จึงเป็นภาพยนตร์ที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง มันมีศักยภาพที่สูงลิ่ว ทั้งจากนักแสดงนำระดับแม่เหล็กและฉากหลังอันดิบเถื่อนที่หาได้ยาก แต่ความบกพร่องทางโครงสร้างและการกำกับที่ไม่สามารถควบคุมองค์ประกอบทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ได้ทำให้ความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเป็นหนังอาชญากรรมชั้นยอดต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงภาพยนตร์ที่มี “บางส่วน” ที่น่าจดจำ แต่ล้มเหลวในการสร้างความประทับใจที่ยั่งยืนในฐานะ “ภาพยนตร์ทั้งเรื่อง”

มันเป็นความทะเยอทะยานที่ถูกลดทอนด้วยการดำเนินงานที่ขาดความพิถีพิถัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นตัวอย่างของผลงานที่ “มีคะแนนประเมินที่แตกต่างกันมาก” และท้ายที่สุดก็ไม่สามารถยืนหยัดอย่างสง่างามท่ามกลางคู่แข่งที่เข้มข้นได้

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole