Skip to content

Time : Pink Floyd | เสียงนาฬิกาที่ปลุกให้เรารู้ว่า ชีวิตได้เริ่มต้นไปแล้ว

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

เกริ่นนำ — เสียงนาฬิกาที่ปลุกให้ตื่นรู้

เมื่อเปิดเพลง Time คุณจะได้ยินเสียง “ติ๊ก ต่อก” ของนาฬิกา เสียงระฆังเตือน และสัญญาณเตือนต่าง ๆ ยาวนานร่วมสองนาที ก่อนที่ดนตรีจะค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาอย่างเฉียบคม — เสียงเหล่านั้นไม่ใช่แค่ “เอฟเฟกต์” แต่มันคือการปลุกให้เราตระหนักว่า “เวลา” ไม่เคยหยุดเดินรอใคร นาฬิกาในเพลงเป็นทั้งสัญลักษณ์และเครื่องเตือนใจ — เรากำลังใช้เวลาแบบเผลอ ๆ ไปหรือเปล่า?

เพลงนี้เป็นหนึ่งในแก่นสำคัญของอัลบั้ม The Dark Side of the Moon (1973) — ซึ่งหมุนวนอยู่กับธีมของชีวิต ความตาย เวลาที่ผ่านไป และวิถีมนุษย์ที่อาจปล่อยให้ชีวิตถูกเวลา “ขโมย” ไปทีละนิด — “Time” จึงกลายเป็นเพลงที่หลายคนฟังแล้วรู้สึกว่า “โดนกับดักของกาลเวลา” ทุกแทร็ก ทุกโน้ต ทุกวรรคตอน

ที่มาของเพลง — จุดเริ่มต้นของบทเพลงแห่งเวลา

“Time” คือบทเพลงที่ Roger Waters เขียนคำร้อง และร่วมขับร้องกับ David Gilmour และ Richard Wright — การผสมเสียงของทั้งสามเหมือนบทสนทนาระหว่าง สติ และ กาลเวลา ที่ค่อย ๆ สะท้อนกลับมาหาผู้ฟังอย่างนุ่มนวลแต่แฝงความหนักแน่น

Waters เคยเล่าว่า เขาแต่งเพลงนี้ในวัยราว 28–29 ปี ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่เขารู้สึกว่า “ไม่ได้เตรียมตัวจะมาถึงตรงนี้” แต่กลับพบว่าตัวเอง “ยืนอยู่กลางทางของมันไปแล้ว” — ความรู้สึกฉับพลันนั้นกลายเป็นจุดกำเนิดของบทเพลงที่พูดกับทุกคนซึ่งเคยตระหนักว่า เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิด

ในอัลบั้ม The Dark Side of the Moon เพลงนี้ถือเป็นเพลงเดียวที่ให้เครดิตแก่สมาชิกทั้งสี่คนของ Pink Floyd อย่างเท่าเทียม — สะท้อนให้เห็นพลังของวงในช่วงที่ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

เสียงนาฬิกาที่เปิดเพลง — ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำเพลง — มาจากการบันทึกเสียงนาฬิกาโบราณหลายเรือน ถ่ายเสียงแยกกันทีละชิ้น แล้วนำมามิกซ์ซ้อนกันอย่างประณีต เพื่อสร้างบรรยากาศของ “เวลา” ที่กำลังหมุนวนอย่างไม่อาจหยุดยั้ง เหมือนเสียงเตือนอันแผ่วเบาที่คอยย้ำว่า ชีวิตกำลังดำเนินอยู่ ณ ขณะนี้

ทำนองกีตาร์โซโล่โดย Gilmour และการสลับเสียงร้องในแต่ละช่วงของเพลง ทำให้ “Time” ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลง หากแต่เป็นการเดินทางภายในใจ — การสำรวจความรู้สึกของมนุษย์ที่เพิ่งรู้ตัวว่า เวลาที่เสียไปไม่มีวันหวนกลับมา

ความหมายของเพลง — เวลา ชีวิต และความเสียใจที่คืบคลาน

“Time” ไม่ได้เป็นเพลงรัก ไม่ใช่เพลงเศร้าแบบโดดเดี่ยว — แต่มันคือเพลง สะท้อนชีวิต — เพลงที่ถามว่า “คุณกำลังใช้เวลาแบบไหน?” “คุณปล่อยให้เวลาลอยผ่านไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?”

เด็ก — ปล่อยให้วันไหลผ่าน

ในบทเปิด เราเห็นภาพของคนหนุ่มสาวที่รู้สึกว่า “มีเวลาเหลือเฟือ”

“You are young and life is long / And there is time to kill today” 

เขาอาจนอนอาบแดด เดินเล่นแถวบ้าน รอใครสักคน หรือรออะไรสักอย่างมาตัดสินว่าจะเริ่มต้นชีวิตจริง ๆ เมื่อไหร่ — โลกเหมือนเปิดให้เรา “เสียเวลา” ได้โดยไม่โกรธ

จุดเปลี่ยน — ตื่นขึ้นมาในวัยกลางคน

อยู่ดี ๆ วันหนึ่งผ่านไป 10 ปี

“And then one day you find / Ten years have got behind you / No one told you when to run / you missed the starting gun”

กลายเป็นว่าเราไม่เคยถูกเตือนให้ “วิ่ง” เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเริ่ม กว่าจะรู้ตัว — เวลาก็พรากบางอย่างไปแล้ว

วิ่งไล่แสง — แต่แสงกำลังลับ

บทที่สองพูดถึงการวิ่งไล่พระอาทิตย์ — วิ่งเพื่อไล่ตามสิ่งที่เราอยากได้ในชีวิต

“And you run and you run to catch up with the sun, but it’s sinking / … but you’re older, shorter of breath and one day closer to death”

แต่แสงนั้นกำลังตก และเรากำลังแก่ลง — หัวใจหายใจสั้นลง ความใกล้ชิดกับความตายยิ่งชัดขึ้น

ความเบียดเสียด — เวลาที่ลดน้อยลง

“Every year is getting shorter / Never seem to find the time”
แผนการมากมายกลายเป็น “ครึ่งหน้าที่เขียนไว้”
“Plans that either come to naught / Or half a page of scribbled lines”

เพลงพูดถึง “quiet desperation” — ความสิ้นหวังเบื้องหลังรอยยิ้มและความพยายาม (เป็นวลีที่เคยถูกพูดถึงในบทเพลงอื่น ๆ ด้วย)

“The time is gone, the song is over, thought I’d something more to say” — เวลากำลังจะหมด เพลงก็จบลง แต่ผู้ขับร้องรู้สึกว่าเขามีสิ่งอีกมากที่อยากพูด

Breathe (Reprise) — กลับบ้านอีกครั้ง

ในตอนท้าย เพลงนำท่อน Breathe (In the Air) กลับมา — เหมือนเป็นการพักให้ลมหายใจ ให้เราได้ “หวนคืนบ้าน” ให้เรามีช่วงเวลาที่เงียบสงบ — แต่ยังมีเสียงระฆัง “iron bell” ที่ก้องอยู่เบื้องหลัง — ชวนให้คิดถึงความศรัทธา ความหวัง หรือความงมงายในความหมายของชีวิต

เสียงเพลงจบลง แต่คำถามยังค้างอยู่ — คุณจะปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไป หรือจะ “ใช้” เวลาที่เหลือให้เป็นตัวคุณ?

แปลเนื้อเพลง “Time”

Ticking away | เวลาเดินไป  
the moments that make up a dull day | ช่วงเวลาที่รวมกันเป็นวันธรรมดา  
You fritter and waste the hours | คุณปล่อยเวลาให้จางหาย  
In an offhand way | อย่างไม่ใส่ใจ

Kicking around | เดินวนไป  
on a piece of ground in your home town | บนแผ่นดินบ้านเกิดของคุณ  
Waiting for someone or something | รอใครบางคน หรือบางสิ่ง  
to show you the way | มาบอกเส้นทางให้แก่คุณ

Tired of lying in the sunshine | เหนื่อยใจที่นอนอาบแดด  
Staying home to watch the rain | อยู่บ้านเฉย ๆ แล้วมองฝนตก  
You are young and life is long | คุณยังเยาว์วัย ชีวิตยังยืนยาว  
And there is time to kill today | และวันนี้ยังมีเวลาให้ปล่อยผ่าน
And then one day you find | แล้ววันหนึ่งคุณค้นพบ  
Ten years have got behind you | ว่าสิบปีก็ผ่านเลยไป  
No one told you when to run | ไม่มีใครบอกคุณให้รีบเดิน  
You missed the starting gun | คุณพลาดสัญญาณเริ่มต้น

And you run, and you run | และคุณวิ่ง และคุณวิ่ง  
To catch up with the sun, but it’s sinking | ไล่แสงอาทิตย์ให้ทัน แต่แสงมันกำลังร่วงโรย  
And racing around | และวิ่งวนไปมา  
To come up behind you again | เพื่อโผล่มายืนอยู่เบื้องหลังคุณอีกครั้ง

The sun is the same in a relative way | แสงอาทิตย์ยังเท่าเดิมในแง่สัมพัทธ์  
But you’re older, | แต่คุณแก่ขึ้น  
Shorter of breath | หายใจสั้นลง  
And one day closer to death | และวันหนึ่งใกล้ชิดกับความตายมากขึ้น

Every year is getting shorter | ทุกปีนั้นสั้นลง  
Never seem to find the time | ไม่เคยดูเหมือนจะเจอเวลา  
Plans that either come to naught | แผนการที่ล้มเหลว  
Or half a page of scribbled lines | หรือครึ่งหน้าที่เต็มไปด้วยลายมือเขียนขีด ๆ

Hanging on in quiet desperation | ยึดมั่นในความสิ้นหวังเงียบ  
Is the English way | นั่นเป็นวิถีของชาวอังกฤษ  
The time is gone, the song is over | เวลาได้ล่วงเลย เพลงก็มาถึงบทจบ  
Thought I’d something more to say | แต่ฉันคิดว่าอยากมีสิ่งอื่นให้พูด

*(Reprise: Breathe (In the Air))*

Home, home again | กลับบ้าน กลับมาอีกครั้ง  
I like to be here when I can | ฉันชอบที่นี่ เมื่อตอนที่ฉันยังทำได้  
When I come home cold and tired | เมื่อฉันกลับบ้าน ในวันที่หนาวเหน็บและเหนื่อยล้า  
It’s good to warm my bones beside the fire | มันดีที่ได้อุ่นร่างใกล้กองไฟ

Far away across the field | ไกลลิบไปทางข้ามทุ่งนา  
The tolling of the iron bell | เสียงระฆังเหล็กดังกังวาน  
Calls the faithful to their knees | เรียกผู้ศรัทธาให้ถ่อมเข่า  
To hear the softly spoken magic spells | ให้ได้ยินคำคมมนต์ที่เปล่งออกเบา ๆ

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole