เมื่อ The Hurt Locker เข้าฉายในปี 2008 มันไม่เพียงแต่เป็น “หนังสงครามอิรัก” เรื่องหนึ่งที่เสี่ยงต่อการถูกกลืนหายไปในทะเลของภาพยนตร์การเมืองหลัง 9/11 แต่กลับกลายเป็นงานศิลปะที่ท้าทายโครงสร้างการเล่าเรื่องสงครามเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง จนในที่สุดก็ผงาดคว้ารางวัลออสการ์ 6 สาขาใหญ่จาก Academy Awards ปี 2010 รวมถึง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture), ผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director) สำหรับ Kathryn Bigelow ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม (Best Original Screenplay) สำหรับ Mark Boal, รวมไปถึง ตัดต่อยอดเยี่ยม (Best Film Editing), ผสมเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Mixing) และ ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม (Best Sound Editing) นี่ยังไม่นับรวมรางวัลอื่นๆ เช่น BAFTA, Critics’ Choice, National Society of Film Critics, Directors Guild of America ซึ่งต่างโอบรับหนังเรื่องนี้ในฐานะปรากฏการณ์ทางภาพยนตร์

ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการ “สร้างภาพใหญ่โต” แบบหนังสงครามฮอลลีวูดยุคก่อน ไม่ได้มีการเมืองขาว-ดำแบบชัดเจน ไม่ได้มีมหากาพย์การต่อสู้ที่หวือหวา หากแต่เกิดจากความเรียบง่ายที่เฉือนคมดุจใบมีดโกน — การเล่าเรื่องชีวิตของทีมเก็บกู้ระเบิด (Explosive Ordnance Disposal – EOD) ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกครั้งเมื่อออกปฏิบัติภารกิจในอิรัก หนังพาเราสัมผัสโลกที่ความเป็นความตายห่างกันเพียงเสี้ยววินาที ทุกการตัดสายไฟ ทุกเม็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากใต้ชุดป้องกัน กลายเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่ผู้ชมรู้สึกได้แทบจะทางกายภาพ

ย้อนกลับไปในปี 2008-2009 วงการภาพยนตร์ยังเต็มไปด้วยงานยักษ์ใหญ่ที่พึ่งพางบประมาณมหาศาลอย่าง The Dark Knight หรือ Avatar ที่จะตามมาในปีถัดไป แต่ The Hurt Locker ซึ่งถ่ายทำด้วยงบประมาณเพียง 15 ล้านดอลลาร์และใช้วิธีการกล้องถือด้วยมือที่สั่นคลอนพาเราลงไปอยู่ในสนามรบอย่างดิบเถื่อน กลับชนะใจกรรมการและนักวิจารณ์ทั่วโลก มันคือการ “ท้าทายระบบ” ของฮอลลีวูดที่ชอบงานอลังการ แต่ครั้งนี้สิ่งที่จับหัวใจคนกลับเป็น “ความสมจริงที่กรีดลึก” และ “การจ้องหน้าความตายอย่างเย็นชา”

ที่สำคัญ Kathryn Bigelow นำเสนอสงครามไม่ใช่ในฐานะการต่อสู้ของอุดมการณ์ หากแต่ในฐานะ สภาวะจิตวิทยาของมนุษย์ โดยเฉพาะตัวละคร William James (Jeremy Renner) ผู้หมกมุ่นกับความเสี่ยงราวกับมันคือยาเสพติด ชีวิตในสงครามสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องของหน้าที่ หากคือพื้นที่ที่เขามีชีวิตชีวาที่สุด จนเมื่อกลับบ้านสู่ความสงบของซูเปอร์มาร์เก็ต เขากลับรู้สึกไร้ค่า — นี่คือการสะท้อน “วิกฤตของทหารอเมริกัน” หลังกลับจากสนามรบ ความจริงที่ทั้งประเทศอยากมองข้ามแต่ Bigelow เลือกจะขุดลึกลงไป

รางวัลออสการ์ที่หนังเรื่องนี้ได้รับสะท้อน “การยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ของ Academy เพราะก่อนหน้านั้น ภาพยนตร์สงครามที่โด่งดังมักถูกออกแบบให้มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน เช่น Saving Private Ryan (1998) ที่โฟกัสเรื่องเกียรติและความเสียสละ หรือ Platoon (1986) ที่วิพากษ์สงครามเวียดนาม แต่ The Hurt Locker แตกต่าง มันเลือกจะไม่ตอบว่าทำไมสงครามนี้เกิดขึ้น ไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่เพียงพาเราลงไปอยู่ตรงจุดนั้น และถามเราว่า “คุณจะหายใจอย่างไรถ้าต้องยืนอยู่ตรงนี้?”
อีกสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือชัยชนะของ Kathryn Bigelow ซึ่งในปีนั้นเธอเอาชนะคู่แข่งที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์มากที่สุดคนหนึ่ง — James Cameron และ Avatar อดีตสามีของเธอเอง การที่หนังเล็กๆ เรื่องนี้เอาชนะงานไซไฟ 3D ยักษ์ใหญ่ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการที่ “พลังของเรื่องเล่าและการกำกับ” สำคัญกว่าความอลังการของเทคโนโลยี

ในเชิงศิลปะการสร้างภาพยนตร์ The Hurt Locker คือการผสมผสานระหว่างสารคดีและดราม่าที่ชวนให้คนดูเหมือนกำลังอยู่ในสนามรบจริงๆ กล้องที่เคลื่อนไหวกระชากอารมณ์ การตัดต่อที่รวดเร็วแต่ไม่สับสน เสียงระเบิด เสียงลมหายใจ และความเงียบในจังหวะที่ทุกคนรู้ดีว่า “อาจเป็นวินาทีสุดท้าย” ทั้งหมดทำงานร่วมกันจนเกิดเป็นความกดดันที่หายใจติดขัด การที่หนังชนะทั้งรางวัลตัดต่อและเสียงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการยืนยันว่าภาษาแห่งภาพยนตร์ถูกใช้ได้อย่างทรงพลังที่สุด
สิบกว่าปีให้หลัง มองย้อนกลับไป The Hurt Locker ยังคงทรงพลังเพราะมันไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเหตุการณ์การเมืองใดเหตุการณ์หนึ่ง มันคือเรื่องราวของความเป็นมนุษย์ที่ดิ้นรนอยู่กับ “ความตายที่ใกล้เกินเอื้อม” และความจริงที่น่ากลัวที่สุดคือ บางครั้งสงครามอาจกลายเป็น “บ้าน” ที่มนุษย์บางคนเลือกจะกลับไปหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ดังนั้น หากจะตอบคำถามว่า “อะไรทำให้หนังเรื่องนี้ได้ออสการ์ถึง 6 รางวัล” คำตอบอาจไม่ใช่เพียงคุณภาพทางเทคนิคหรือการกำกับอันยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่เป็นเพราะ The Hurt Locker ทำสิ่งที่ยากที่สุดในโลกภาพยนตร์ — มันเปลี่ยนสงครามให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ผู้ชมไม่อาจลืมได้ และยิ่งเมื่อเรามองย้อนกลับไปยังปี 2008 ความคมชัดของมันก็ยิ่งเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม
ปริศนา Beckham: เด็กตายจริงหรือภาพลวงตา?
หนึ่งในเส้นเรื่องที่ชวนถกเถียงที่สุดใน The Hurt Locker คือชะตากรรมของ Beckham เด็กขาย DVD ที่เจมส์พยายามผูกพันด้วย การค้นพบศพเด็กที่ถูกยัดระเบิดไว้ทำให้เจมส์เชื่อว่านั่นคือ Beckham ซึ่งกระทบเขาอย่างแรงราวกับความเป็นมนุษย์เล็กๆ ที่ยังเหลืออยู่ถูกพรากไป ในฉากต่อมา เจมส์ถึงขั้นลากตัวเจ้าของร้าน DVD ไปยังบ้านของ Beckham เพื่อหาความจริง แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาคือ “ความว่างเปล่า” ไม่มีคำตอบ ไม่มีการเปิดเผยว่าเด็กคนนั้นคือใคร

ฉากนี้สะท้อนชัดว่าเจมส์กำลังดิ้นรนหาความหมายในสนามรบ เขาต้องการยึดโยงตัวเองกับใครสักคนในดินแดนที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ แต่การตามล่าความจริงกลับทำให้เขาตระหนักถึงความไม่อาจเข้าถึงได้ของโลกที่เขาเดินอยู่ เขาเป็นเพียงทหารอเมริกันที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตคนอื่นโดยไม่มีวันเข้าใจพวกเขาจริงๆ การ “บังคับ” เจ้าของร้าน DVD จึงเป็นการย้ำเชิงสัญลักษณ์ว่าเจมส์ไม่สามารถสร้างสายสัมพันธ์ใดได้เลยนอกจากความรุนแรง และแม้กระทั่งเมื่อเขาคิดว่าตนเองค้นหาความจริง สิ่งที่พบกลับเป็นเพียงความคลุมเครือที่หนักหนากว่าเดิมไม่ว่าศพนั้นจะเป็น Beckham จริงหรือไม่ หนังเลือกที่จะไม่ตอบตรงๆ เพราะ คำถามสำคัญไม่ใช่เด็กตายหรือรอด แต่คือการที่เจมส์ไม่อาจแยกแยะความจริงออกจากความเชื่อของตัวเอง และนี่คือแก่นของ The Hurt Locker — สงครามทำให้เส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตาย ความจริงและภาพหลอน มนุษยธรรมและความรุนแรงพร่าเลือนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ