คำเตือนสำหรับคนยังไม่ดู: บทวิจารณ์ชิ้นนี้เปิดเผย ทุกเนื้อหาและจุดพลิกผันสำคัญ (spoiler เต็มรูปแบบ) — ถ้าคุณยังอยากให้การค้นหาเรื่องราวเป็นการค้นพบด้วยตัวเอง หยุดอ่าน ณ บรรทัดนี้ได้เลย แต่ถ้าคุณอยากให้ใครสักคนเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องมืดเพื่อชี้ไฟฉายให้เห็นจุดที่ซ่อนจริง ๆ — อ่านต่อ
เมื่อ Martin Scorsese หยิบงานนิยายจิตวิทยาลึกลับของ Dennis Lehane มาทำเป็นภาพยนตร์ เขาไม่ได้เพียงแค่ “เล่าเรื่องสืบสวน” แบบที่โรงภาพยนตร์คาดหวังได้จากโปสเตอร์และเทรลเลอร์ แต่อาศัยทุกเทคนิคที่สะสมมาทั้งชีวิตการกำกับ — การจัดจังหวะภาพและเสียง การปล่อยข้อมูลแบบค่อยเป็นค่อยไป การบิวท์ความหลอนจากรายละเอียดเล็ก ๆ — เพื่อสร้างประสบการณ์ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ใช่แค่การไขปริศนา แต่เป็นการพังทลายตัวละครตรงหน้าเราอย่างโหดร้ายและเมตตาพร้อมกัน

หนังเริ่มจากสูตรที่คุ้นเคย: ตำรวจศาล (USS Marshal) สองคน เดินทางมายังเกาะปิดล้อมด้วยทะเลและหมอกชื่อ Shutter Island เพื่อสืบสวนการหายตัวไปของผู้ป่วยคนหนึ่งในโรงพยาบาลจิตเวช Ashecliffe — แต่ปู่ Scorsese ใช้สูตรนี้เป็นกับดักเชิงเล่าเรื่อง แกกระจายชิ้นส่วนของ “ความจริง” ออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ทั้งภาพฝัน ภาพความทรงจำที่ไม่ชัดเจน เสียงจากครอบครัวที่หายไป — และเมื่อชิ้นส่วนเหล่านั้นประกอบกัน เราถูกบังคับให้ยอมรับความจริงที่โหดร้าย: ชายที่เราตามอยู่ตลอดเรื่อง — Teddy Daniels (Leonardo DiCaprio) — ไม่ได้เป็นผู้ค้นหาความจริง แต่เป็นคนที่หลอกตัวเอง และโลกทั้งใบที่เขาตั้งอยู่เป็นการทดลองเพื่อดึงให้เขาเผชิญหน้ากับความผิดที่ฝังลึกที่สุด

เหตุผลที่หนังเข้าไปถึงแก่นจิตวิญญาณของผู้ชมได้อย่างเจ็บปวดคือการวางน้ำหนักระหว่าง “การไขปริศนา” กับ “การค้นพบตัวเอง” หนังไม่ละทิ้งโครงสร้างนิยายสืบสวน แต่กลับค่อย ๆ เปลี่ยนไปสู่โทนกอธิกทางจิตใจ: ฝันร้ายของ Teddy, ความทรงจำสงคราม, ภาพภรรยาที่ตายจาก, และฉากของความผิด — ทุกอย่างทำหน้าที่เป็นชั้นๆ ของความผิดบาปและการปฏิเสธ มันไม่ใช่แค่ปริศนาว่าใครเป็นคนทำ แต่เป็นปริศนาว่า “เราอยากให้ตัวละครนี้ต้องชดใช้หรือไม่” เมื่อความจริงปรากฏก็เหมือนถูกฉีกหน้ากากแห่งการป้องกันออกมา

Leonardo DiCaprio ให้บทบาทที่เป็นมากกว่านักแสดงนำ — เขาทำให้ Teddy/Andrew กลายเป็นภูเขาแห่งความเจ็บปวด: ดวงตาที่สั่นคลอน, เสียงกระซิบของความทรงจำ, การฉีกแววตาไปมาระหว่างความโกรธและโศก — การแสดงแบบนี้ทำให้ผู้ชมไม่เพียงเชื่อในเรื่องหักมุมทางโครงเรื่อง แต่ยังเชื่อในการทรยศของจิตใจตัวละครต่อจิตใจของตัวเอง การแสดงของเขาเป็นหัวใจที่ทำให้หนังไม่กลายเป็น “งานหักมุม” ธรรมดา แต่เป็นโศกนาฏกรรมส่วนตัวที่ใหญ่โต
ปู่ Scorsese ที่กำกับเรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแก่นของตัวเองมากนัก — ปู่แกยังคงสนใจเรื่องบาป, ความร้อนแรงภายในใจ, และการตัดสินทางศีลธรรม — แต่คราวนี้ย้ายเวทีจากแก๊งค์มาเฟียมาเป็นห้องรักษา ซีนหลายซีนชวนให้นึกถึงงานก่อน ๆ ของแก เช่นความเป็น outsider ที่ล้มเหลวใน Taxi Driver หรือความโหดร้ายกับตัวเองใน Raging Bull — เหมือนว่าใน Shutter Island แกนำเครื่องมือทั้งหมดมาทดลองกับ “ความทรงจำ” แทนที่จะเป็นอำนาจหรือความรุนแรงภายนอก งานภาพที่เต็มไปด้วยเงา หมอก และการตัดต่อที่คุมโทนเรื่องของจิตใจ ทำให้หนังดูเหมือนฝันร้ายที่ถูกจัดองค์ประกอบอย่างประณีต

องค์ประกอบทางเทคนิคนั้นไร้ที่ติ: การออกแบบสถานที่ของโรงพยาบาลเกาะที่เป็นทั้งคุกและวิหาร ความละเอียดของพร็อพที่บ่งบอกประวัติและการทดลอง ตัวหนังใช้เสียงและเพลงเป็นตัวบิดความรู้สึก — เสียงสั่น รายละเอียดเล็ก ๆ เช่นเสียงน้ำหยดหรือเสียงลม เสริมให้ฉากไม่ยอมให้ผู้ชมวางใจได้แม้แต่วินาทีเดียว การตัดต่อไม่รีบร้อน แต่ก็กดดัน; ปู่ Scorsese ให้เวลาผู้ชมรู้สึกก่อนจะดึงความจริงออกมาเหมือนค่อย ๆ เปิดฝาผนังที่ปิดบังไว้
แล้วทำไมคนดู (และนักวิจารณ์จำนวนมาก) ให้คะแนนสูงจนได้เลข 8.2/10 ที่ผู้ชมอ้างถึง? คำตอบกระจายอยู่หลายชั้นเหมือนหนังเอง: ผู้ชมทั่วไปได้ประสบการณ์ที่สลักใจ — พล็อตหักมุมที่ทำงานได้จริง, นักแสดงระดับเทียร์-เอ และภาพ/เสียงที่สร้างบรรยากาศจนตัวเองกลายเป็นตัวละคร คนที่ชอบวิเคราะห์ได้ของเล่นทางสัญลักษณ์และเบาะแสที่สามารถย้อนกลับไปหาจุดบอกเหตุได้ในการดูซ้ำ และนักวิจารณ์เห็นว่าหนังไม่เพียงพึ่งกิมมิค แต่มีฐานอารมณ์ที่หนักแน่น (ความผิด, การสูญเสีย) ซึ่งทำให้การหักมุมมีน้ำหนักกว่าการโกงของพล็อตแบบง่าย ๆ นอกจากนี้ ชื่อชั้นของ Martin Scorsese กับการตลาดภาพลักษณ์ของหนังที่เล่นกับความลึกลับยังช่วยดึงคนมาดูและคุยต่อในสังคมออนไลน์ — การถกเถียงทำให้หนังมีชีวิตยาวและคะแนนบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มักสะท้อนการมีส่วนร่วมของผู้ชมไม่ใช่เพียงคุณภาพเพียว ๆ

แต่หนังไม่ได้ไร้ข้อครหา บางคนมองว่ามัน “โอเวอร์สไตลิ่ง” หรือใช้สัญลักษณ์หนักไป บางคนโต้แย้งว่าบทปรับจากนิยายไปแตะต้องการอธิบายตัวละครมากเกินไป หรือในทางกลับกันคือยังทิ้งปมไว้ให้ตีความเกินจำเป็น รายละเอียดบางอย่าง เช่นการทดลองทางการแพทย์และองค์ประกอบของการบำบัด ถูกมองว่าเป็นการแสดงภาพโรงพยาบาลจิตเวชในเชิงมโนมากกว่าความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ชมเชิงวิชาการอาจติ แต่ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของความน่าสนใจ: หนังเปิดพื้นที่ให้ถกเถียงทั้งทางศีลธรรม จิตวิทยา และเทคนิคหนัง
จุดที่คนมักถกเถียงถึงมากที่สุดคือตอนจบ — หลังฉากความจริงที่ Andrew Laeddis ถูกเปิดเผย เขาดูเหมือนจะยอมรับความจริง และพูดคำสุดท้ายที่หนักหน่วงก่อนจะถูกพาไปผ่าตัดโลบอตอมี (lobotomy):
“Which would be worse — to live as a monster, or to die as a good man?” (จะโหดร้ายกว่ากันไหม — อยู่เป็นปีศาจ หรือจากไปในฐานะคนดี)
ประโยคนี้เปิดพื้นที่ตีความสองทาง: หนึ่งคือ Andrew กลับมาสติจริง ๆ แล้วเลือก “ยอมตาย” เพื่อหนีการทรมานของการรู้สึกผิด (การทำเป็นกลับไปรับบท Teddy เป็นการยอมรับการถูกลบความทรงจำ) ทางที่สองคือเขาพูดเพื่อพิสูจน์ว่าการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการตื่นจากฝัน — แต่การกระทำสุดท้าย (การถูกพาไปผ่าตัด) ทำให้เราไม่แน่ใจว่าเขาจงใจยอมให้ทำเพื่อหนีความทรมาน หรือจริง ๆ แล้วกลับมาที่สติแต่เลือก “ความเมตตา” ให้ตัวเองโดยการยอมตายทางสังคม การตีความทั้งสองทำให้หนังยังคงค้างในใจผู้ชม — และความค้างคานั้นคือสิ่งที่ทำให้คนกลับมาดูซ้ำและคุยกันยาวนาน

ถ้ามองในเชิงการวางตัวงานของ Martin Scorsese เทียบกับผลงานก่อนหน้า Shutter Island อาจถูกมองเป็นหนังที่ “เงียบ” กว่าแต่ลึกกว่า — มันไม่จำเป็นต้องพึ่งฉากความรุนแรงเชิงสังเกต แต่เลือกจะฉีกเนื้อในของตัวละครแทน การเดินทางของ Teddy/Andrew เป็นการเดินทางย้อนกลับเข้าสู่บาปส่วนตัว ซึ่งเป็นธีมที่ ปู่ Scorsese ไม่เคยละเลย เพียงคราวนี้เขาพาเราเข้าสู่ห้องปริศนาภายในจิตใจมนุษย์มากกว่าถนนหรือบาร์
สรุปสุดท้าย Shutter Island ไม่ได้เป็นแค่หนังพลิกบทบาทที่ฉลาด แต่มันคือบทกวีภาพยนตร์เกี่ยวกับความผิดและการเลือกของมนุษย์ หนังทำงานได้เพราะมันรวมนักแสดงชั้นยอด เทคนิคการกำกับที่แน่นหนา และแก่นอารมณ์ที่แท้จริง — ความโหดร้ายของการรู้ตัวเอง — เข้าไว้ด้วยกัน ผลลัพธ์คือภาพยนตร์ที่ทำให้คุณ “รู้สึก” ก่อนจะ “เข้าใจ” และเมื่อเข้าใจแล้ว คุณจะรู้สึกอีกครั้ง และนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงถูกพูดถึง ถูกโต้เถียง และถูกให้คะแนนสูง: มันไม่ปล่อยให้คุณจากไปโดยไม่มีคำถามติดตัว

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ