มีหนังที่เราดู เพลิดเพลิน แล้วก็ลืม และมีหนังที่ดูแล้วก็ยังไหลเวียนในกระแสเลือด เหมือนเสียงเพลงที่ไม่เคยจางหายไปจากใจ Sing Street ชื่อไทย รักใครให้ร้องเพลงรัก (2016) กำกับโดย John Carney (ผู้กำกับ Once, Begin Again) อยู่ในหมวดหลังอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่แค่ “หนังเพลง” ทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวของความโหยหาในช่วงวัยรุ่น ฉากหลังครอบครัวที่แตกสลาย เกิดรักครั้งแรก และพลังอันบ้าบิ่นของการเขียนเพลงกับเพื่อนๆ เมื่อเราเชื่อว่าโลกอาจจะฟังเสียงของเราจริงๆ
เรื่องราวในจังหวะดนตรี
ถูกเซ็ตให้อยู่ในดับลินปี 1985 คอนเนอร์ ลาลอร์ วัยรุ่นหนุ่มหน้าละอ่อน (รับบทโดย Ferdia Walsh-Peelo) ถูกย้ายไปเรียนที่โรงเรียน Synge Street Christian Brothers อย่างกะทันหันเพราะพ่อแม่กำลังมีปัญหาเงิน และปัญหาชีวิตคู่ โรงเรียนแห่งนี้เกรดตลาดล่างของไอร์แลนด์ มีครูที่เข้มงวด นักเรียนก็ดูไร้วินัยตามเกรดของโรงเรียน แต่แล้วที่หน้าโรงเรียนคอนเนอร์ก็เห็นเธอ: ราฟินา (Lucy Boynton) ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนราวกับฉากในมิวสิกวิดีโอ ดูโดดเด่นปนความเพ้อฝันอย่างใน MTV

และด้วยความกล้าหาญแบบวัยรุ่นล้วนๆ เขาเลยถามเธอว่าอยากมาเล่นมิวสิกวิดีโอไหม
“ผมมีวง” คอนเนอร์โกหก
แน่นอนไม่มีวงไหนสักวง แต่ด้วยการให้กำลังใจจากเบรนแดน พี่ชายเจ้าแห่งปรัชญาที่ชอบเมายา (Jack Reynor ผู้มอบจิตวิญญาณให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้) คอนเนอร์เริ่มปั้นวงขึ้นมา: มือเบส มือคีย์บอร์ด มือกลอง และเอมอน คู่หูนักแต่งเพลงอันประหลาดของเขา

สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่การจัดตั้งวงดนตรี แต่เป็นการสร้างตัวตน เพลงแต่ละเพลงที่พวกเขาเขียนกลายเป็นบันทึกประจำวัน คำสารภาพ และการกบฏเล็กๆ ต่อทุกสิ่งที่พยายามทำให้พวกเขาเล็กลงในสังคมที่อยู่ที่นั่น
เพลงต้นฉบับ — เล่นแร่แปรธาตุแบบวัยรุ่นของแทร่
ความอัจฉริยะของ Sing Street อยู่ที่ซาวด์แทร็ก ใช่แล้ว มันพยักหน้าให้กับยักษ์ใหญ่แห่งยุค 80s อย่าง Duran Duran, The Cure, A-ha, Hall & Oates แต่มากกว่านั้น มันสร้างเพลงต้นฉบับที่ฟังแล้วเหมือนออกมาจากยุคนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพลงล้อเลียน ไม่ใช่การเลียนแบบ แต่เพลงมันมีชีวิตจริงๆ
มาดูเพลงเหล่านี้กัน:
“The Riddle of the Model”

ความพยายามครั้งแรกที่เงอะงะของวง ได้แรงบันดาลใจจากซินธ์-ป๊อปฉูดฉาดของ Duran Duran และความหลงใหลในความงาม มันดูจงใจให้เป็นงานหยาบๆ ดิบๆ โง่ๆ และให้ความรู้สึกเหมือนวงการาจที่พยายามเกินไป เพราะนั่นแหละคือสิ่งที่เป็นจริง แต่ก็มีเสน่ห์ของมันในความไม่สมบูรณ์นี้
“Up”
การแต่งเพลงครั้งแรกที่จริงๆของเอมอนและคอนเนอร์ มันเรียบง่ายแต่ซื่อสัตย์ มีเนื้อร้องแบบที่เฉพาะเด็กสองคนที่เชื่อว่าดนตรีสามารถรักษาโรคของใจได้เท่านั้นที่จะเขียนได้ คุณจะได้ยินความหวังของพวกเขาไหลซึมผ่านคอร์ดทุกตัว
“Drive It Like You Stole It”
ผลงานชิ้นเอกของภาพยนตร์ เบรนแดนบอกคอนเนอร์ว่า:
“นายไม่สามารถเอาสิ่งที่หายไปกลับมาได้ นายต้องสร้างสิ่งใหม่ได้ให้เท่านั้น”

และคอนเนอร์นำปรัชญานี้มาปั้นเป็นเพลงต่อสู้ที่ท้าทายให้คว้าชีวิตไว้ก่อนที่มันจะหลุดมือไป ฉากมิวสิกวิดีโอในฝันที่งานเต้นรำของโรงเรียนอันยิ่งใหญ่ในแบบฉบับหนังวัยรุ่นอเมริกัน คือแฟนตาซีเต็มรูปแบบที่เด็กทุกคนดูมีสไตล์ มั่นใจ และมีชีวิตชีวา เป็นเพลงที่บอกว่า: อย่าแค่มีชีวิต หลบหนี จับพวงมาลัย และเป็นเจ้าของโชคชะตาของตัวเอง
“Girls”
ความพยายามที่ขี้เล่นเพื่อทำให้ราฟินาประทับใจ เต็มไปด้วยกลิ่นอาย A-ha ติดหูและตื่นเต้น นั่นแหละคือสิ่งที่หนุ่มวัยรุ่นคิดว่าจะได้ผลเมื่อเขาอยากดูเท่ๆ ต่อหน้าสาวๆ
“Brown Shoes”

เขียนขึ้นเพื่อต่อต้านครูใหญ่ผู้กดขี่ ที่ยืนยันให้ใส่รองเท้าสีดำเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบ คอนเนอร์กรีดร้องกลับด้วยเพลงพังก์โกรธๆ นี้ มันดิบ มันต่อสู้ และแสดงให้เห็นว่าดนตรีกลายเป็นอาวุธแห่งอิสรภาพได้อย่างไร
“To Find You”
บทเพลงบัลลาดที่เงียบกว่าเพลงอื่น เผยให้เห็นหัวใจของคอนเนอร์มากกว่าความเย่อหยิ่ง เป็นด้านอ่อนโยนของการตกหลุมรัก ไม่มีซินธ์ที่ฉูดฉาดหรือบีทที่หนักหน่วง เหลือเพียงเสียงกีต้าร์เบาๆ และเสียงร้องที่สั่นเครือจากความรู้สึกจริง เป็นเพลงที่คอนเนอร์เขียนเมื่อเขาเริ่มเข้าใจว่าความรักไม่ใช่แค่การพยายามประทับใจ แต่เป็นความต้องการที่จะเข้าใจและเชื่อมต่อกับอีกหนึ่งหัวใจ มันเรียบง่าย แต่ลึกซึ้งกว่าเพลงใดๆ ในอัลบั้ม
“Go Now”
แทร็กปิด ร่วมเขียนโดย Adam Levine ไม่แกล้งทำเป็นยุค 80s แต่เหนือกาลเวลา เล่นประกอบฉากที่คอนเนอร์และราฟินาลงเรือด้วยแรงศรัทธาไปลอนดอน ทิ้งดับลิน ทิ้งปัญหาครอบครัว ทิ้งวัยเด็ก มันหวานอมขม เป็นการอำลาและการเริ่มต้นในเวลาเดียวกัน
ทำไมถึงแทงใจขนาดนี้
บทสนทนาส่องประกายด้วยความจริงใจ โดยเฉพาะคำพูดของเบรนแดน เป็นเสียงของพี่ชายทุกคนที่หนีไม่ได้ แต่หวังให้น้องชายหนีได้

“ร็อกแอนด์โรลเป็นเรื่องของความเสี่ยง เสี่ยงที่จะถูกเยาะเย้ย แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น นายต้องเรียนรู้วิธีขับมันเหมือนนายขโมยมันมา”
ภาพยนตร์เข้าใจว่าการเป็นเด็กสิบห้าที่สิ้นหวังหมายความว่าอย่างไร สิ้นหวังเพื่อการหลบหนี เพื่อความรัก เพื่อที่ยืนในโลกใบนี้ เพลงใหม่ทุกเพลงคือการที่คอนเนอร์ลองใส่ตัวตนใหม่ๆ จนกว่าจะค้นพบเสียงของตัวเองในที่สุด
การที่ทีมของ John Carney ไม่เพียงแค่อ้างอิงดนตรียุค 80s แต่สร้างซาวด์แทร็กที่น่าเชื่อและมีชีวิตชีวาของเพลง “ใหม่” ขึ้นมา นั่นคือความมหัศจรรย์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เพลงเหล่านี้สามารถนั่งฟังกับเทปรวมเพลงระหว่าง The Cure กับ Duran Duran ได้โดยไม่มีใครสงสัยว่ามาต่างยุคกันได้เลย
คอร์ดส่งท้าย
Sing Street ไม่ใช่เรื่องการคนธรรมดากลายเป็นดาราหรือนักร้องดัง ในแบบฉบับหนังความฝันทางดนตรี แต่เป็นเรื่องความกล้าหาญในการสร้างสรรค์ การรัก และการฝันเมื่อโลกใบนี้บอกให้ยอมแพ้ เป็นเรื่องของวงแรกที่ตั้งกับเพื่อนซี้ เมื่อไม่รู้วิธีเล่นเป็นวง แต่ไม่สำคัญ เพราะเพลงเหล่านั้นยังเป็นของเรา

เมื่อเครดิตจบลง ไม่เพียงแต่จดจำเรื่องราวได้ดีเท่านั้น แต่รู้สึกเหมือนได้มีชีวิตมากขึ้น เหมือนได้รับอนุญาตให้หยิบกีต้าร์ขึ้นมาอีกครั้ง หรือขีดเขียนเนื้อเพลงในสมุดบันทึก
และนั่นคือเหตุผลที่ Sing Street ลืมไม่ลง สำหรับเราเลย


อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ