Skip to content

[รีวิว] Burn After Reading : เบิร์น อาฟเตอร์ รีดดิง (2008) | เมื่อความโง่เขลาถูกขับเคลื่อนด้วยความจริงจัง

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

Burn After Reading (2008) ผลงานกำกับของสองพี่น้อง Coen Brothers (Joel และ Ethan) คือภาพยนตร์เสียดสีที่เต็มไปด้วยความ “ไร้สาระอย่างจริงจัง” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับคู่นี้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าเรื่องสายลับแบบจริงจัง หากแต่ใช้โครงสร้างของ “หนังจารกรรม + ทริลเลอร์การเมือง” มาล้อเลียนความโลภ ความไม่รู้ และความไร้เหตุผลของมนุษย์ได้อย่างเจ็บแสบ

เรื่องย่อ (พร้อมสปอยล์)

เรื่องเริ่มต้นเมื่อ ออสบอร์น ค็อกซ์ (John Malkovich) เจ้าหน้าที่ CIA ถูกลดตำแหน่งจนเขาลาออกด้วยความโมโห เขาตัดสินใจเขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับงานสายลับ แต่ไฟล์ต้นฉบับดันไปอยู่ในมือพนักงานยิมสองคน แชด (Brad Pitt) และ ลินดา (Frances McDormand) ที่เชื่อว่าเป็น “ข้อมูลลับสุดยอด” พวกเขาพยายามแบล็กเมลออสบอร์นเพื่อแลกกับเงิน แต่เรื่องกลับบานปลายเมื่อคนรอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยการโกหกและความสัมพันธ์เชิงชู้สาวที่สับสน

  • แฮร์รี่ (George Clooney) เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง แอบนอกใจภรรยาและมีความสัมพันธ์กับหลายคน รวมถึงลินดา
  • เคธี่ (Tilda Swinton) ภรรยาของออสบอร์น ที่ก็แอบนอกใจเช่นกันและวางแผนหย่า
  • แชดผู้ซื่อและโง่เง่าจนทำให้แผนการแบล็กเมลตลกกลายเป็นหายนะ

เรื่องราวค่อย ๆ บานปลายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครควบคุมได้ — แชดถูกฆ่าอย่างไม่ตั้งใจ ออสบอร์นระเบิดอารมณ์จนใช้ความรุนแรง ขณะที่ลินดายังคงเชื่อว่าตนเป็น “ฮีโร่” ที่กำลังอยู่ในเกมการเมืองใหญ่โต ทั้งหมดสะท้อนความโง่เขลาที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจผิด ๆ ของมนุษย์

โครงสร้างแบบ “ตลกร้าย”

Burn After Reading เต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ไร้สาระแต่ถูกเล่าเหมือนเรื่องจริงจังสุดขีด ทุกตัวละครคิดว่าตนเองสำคัญและกำลังควบคุมสถานการณ์ แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดคือความเข้าใจผิดซ้ำซ้อน กลายเป็นห่วงโซ่แห่งความวุ่นวายที่ไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ

ตัวละคร = ภาพสะท้อนความโง่เขลามนุษย์

  • ออสบอร์น คืออีโก้ของคนมีความรู้ แต่ไม่ยอมรับความล้มเหลว
  • ลินดา คือความหลงใหลในภาพลักษณ์และความอยากสวย (การทำศัลยกรรมคือเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเธอ)
  • แชด คือความโง่ซื่อที่คิดว่าตนเองฉลาดล้ำ
  • แฮร์รี่ คือตัวแทนของความเจ้าชู้ที่คิดว่าตนเองไร้พิษภัย แต่กลับทำลายทุกอย่างรอบตัว

ทุกคนขับเคลื่อนด้วยความอยากส่วนตัว และพังเพราะ “การไม่รู้” ของตัวเองทั้งสิ้น

สไตล์ Coen Brothers

พี่น้องโคเอนมักทำหนังที่โลกเต็มไปด้วยความโกลาหลและตัวละครที่คิดว่าตัวเองเข้าใจโลก ทั้งที่จริง ๆ ไม่เข้าใจอะไรเลย (Fargo, The Big Lebowski) Burn After Reading ก็เช่นกัน — หนังเหมือนตั้งคำถามว่า “แล้วสุดท้ายทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?”

ฉากจบที่เจ้าหน้าที่ CIA พูดคุยกันอย่างไม่ใส่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ปิดคดีด้วยประโยคเชิงประชดประชันว่า “หวังว่าเราจะได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้” แต่ความจริงคือไม่มีใครเรียนรู้อะไรเลย

ทำไมหนังถึงน่าดู

  • การแสดงของนักแสดงระดับแถวหน้า (Pitt, Clooney, McDormand, Malkovich) ที่เล่นบทตลกร้ายได้สุดขีด
  • บทสนทนาที่คมกริบ สั้น กระชับ แต่เต็มไปด้วยความเสียดสี
  • หนังย้ำเตือนเราว่า ความวุ่นวายใหญ่โตในชีวิตบางครั้งไม่ได้เกิดจากแผนการสมคบคิดระดับโลก แต่เกิดจาก “คนธรรมดาที่โง่เกินไปจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

บทสรุป

Burn After Reading คือหนังเสียดสีการเมือง-สังคมที่เปลือยให้เห็นความตลกร้ายของมนุษย์ที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ทุกการตัดสินใจที่ผิดพลาดสะท้อนภาพโลกที่เต็มไปด้วย “ความโง่จริงจัง” จนบางครั้งไม่ต่างอะไรจากเรื่องขำขันไร้สาระ แต่กลับลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม

นี่คือหนึ่งในผลงานของ Coen Brothers ที่ยังคงถูกพูดถึงเพราะความ “ไร้สาระที่จริงจัง” และมันอาจทำให้คุณตั้งคำถามกับตัวเองว่า — เราเองเคยเป็นหนึ่งในตัวละครเหล่านี้หรือเปล่า?

หมาะกับคนที่ชอบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคม และบทหนังที่เล่นกับความเข้าใจผิดของมนุษย์แบบเจ็บ ๆ คัน ๆ

เกร็ดภาพยนตร์จาก IMDb (พร้อมสปอยล์)

  • ตัวละคร Osborne Cox (John Malkovich) ถูกเขียนขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเขา ตามที่ผู้กำกับ Joel และ Ethan Coen ต้องการ
  • ตัวละครของ Brad Pitt ได้แรงบันดาลใจจากนักแสดงเอง โดยเฉพาะทรงผมและสไตล์ที่เขาเคยปรากฏในโฆษณา แม้จะไม่ได้ระบุโฆษณาชิ้นไหนอย่างชัดเจน
  • George Clooney ได้ร่วมงานกับพี่น้อง Coen เป็นครั้งที่สาม หลังจาก O Brother Where Art Thou? (2000) และ Intolerable Cruelty (2003) โดยบทของเขาในเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นสำหรับเขาโดยเฉพาะ
  • บทภาพยนตร์ถูกเขียนขึ้นในช่วงเดียวกับ No Country for Old Men — แม้โดยปกติ Coen จะทำงานทีละเรื่อง
  • เลือก Emmanuel “Chivo” Lubezki มาเป็นผู้ถ่ายภาพแทน Roger Deakins—ซึ่งไม่เคยร่วมงานกับ Coen มานานเกือบ 20 ปี
  • ทรงผมบ็อบของ Frances McDormand (Linda) ได้แรงบันดาลใจจาก Linda Tripp ผู้แจ้งเรื่องอื้อฉาวในคดี คลินตัน–ลิวินสกี
  • Tilda Swinton บอกว่าผมทรงของเธอ (Katie) ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวละครจาก The Simpsons—Edna Krabappel
  • พี่น้อง Coen ให้ดาราทุกคน “ปล่อยเงื่อนด้านในของความโง่” (embrace their “inner knuckleheads”) เพื่อถ่ายทอดความบ้าบอของตัวละคร
  • โปสเตอร์ของหนังเรื่องในหนัง (Coming Up Daisy) ระบุว่า “สร้างจากหนังสือโดย Cormac McCarthy”—ผู้เขียน No Country for Old Men
  • Critic ของ Wired กล่าวว่าหนังเป็น “screwball spy spoof” ที่สนุกอย่างดุเดือด—นักแสดงรับบทเป็นตัวละครโง่แต่จริงจัง สร้างความบันเทิงโดยไร้คนให้เชียร์จริง ๆ

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole