กลางดินแดนที่ฝุ่นคลุ้งและกฎหมายไร้ความหมาย เมือง Redemption เป็นชื่อที่ทั้งประชดและชี้นำ มันหมายถึง “การไถ่บาป” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองนี้คือการจัดการแข่งขันยิงปืนเพื่อความบันเทิงของเจ้าถิ่นผู้มีอำนาจเด็ดขาด “เฮรอด” รับบทโดย Gene Hackman ในบทผู้ร้ายที่ทรงพลังและน่าเกรงขามที่สุดคนหนึ่งในภาพยนตร์ตะวันตกยุคหลัง
แล้ววันหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามาในเมือง ชื่อของเธอคือ “Ellen” หรือ “The Lady” (รับบทโดย Sharon Stone) เธอขรึม สงบนิ่ง และไม่สนใจสายตาใคร แต่เบื้องหลังแววตาเยือกเย็นนั้นซ่อนแรงจูงใจที่ซับซ้อนกว่าคำว่า “ล้างแค้น”
การเล่าเรื่องแบบพิธีกรรม: Duel as Redemption

หนังของ Sam Raimi เรื่องนี้มีโครงสร้างที่ชัดเจนราวกับละครเวที – เหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองเดียว ช่วงเวลาสั้น ๆ และทุกอย่างหมุนรอบการแข่งขันดวลปืนแบบตายเป็นตาย มันไม่ใช่แค่ฉากแอคชั่น แต่มันคือพิธีกรรม มันคือสนามประลองของอดีต ความกลัว ความเกลียดชัง และสุดท้ายคือการไถ่บาป
ทุกตัวละครที่ลงแข่งมีแผลในใจ บางคนสู้เพื่อชื่อเสียง บางคนสู้เพื่ออิสรภาพ บางคนแค่ไม่มีอะไรจะเสีย Leonardo DiCaprio ในบท The Kid – เด็กหนุ่มที่เชื่อว่าเขาเร็วที่สุด และใฝ่ฝันจะให้พ่อผู้ไร้หัวใจยอมรับเขา – คือหัวใจอีกดวงของเรื่อง
แต่จุดพีคที่สุดคือ ความจริงเบื้องหลังความแค้นของ Ellen เมื่อหนังเผยว่าเธอคือเด็กหญิงในอดีต ที่ถูกบังคับให้ยิงพ่อของตัวเองจนตาย ขณะเป็นตัวประกันของ Herod – การล้างแค้นจึงไม่ใช่เรื่องของการเอาคืน แต่มันคือการลบล้างความผิดบาปที่ฝังลึก เธอไม่ได้แค่ฆ่า Herod – เธอกำลังฝังศพปีศาจในอดีตที่ฝังอยู่ในใจเธอเอง
ภาพและเสียง: Western สไตล์ Sam Raimi

แม้จะเป็นหนังคาวบอย แต่ The Quick and the Dead ไม่เหมือน Western ที่เราคุ้นตา Sam Raimi ใช้กล้องแพนไว หมุนติ้ว สโลว์โมชั่นแบบเกินจริง และมุมกล้องแปลกตาที่แทบเป็นลายเซ็นจาก Evil Dead ของเขา ใครคาดหวังความสมจริงอาจรู้สึก “เล่นใหญ่” แต่สำหรับสายดูหนังที่อ่านความหมายจากภาพและท่าทาง นี่คือโอเปร่าการล้างแค้นที่ถูกกำกับด้วยภาษาภาพยนตร์ล้วน ๆ
แสงสีทองของพระอาทิตย์ตก สะท้อนกระบอกปืนในช็อตดวล ฉากซูมเข้าไปในลำกล้องปืนผ่านตากล้องเหนือจริง ร่างล้มทั้งยืนกลางแสงแดด และเลือดที่หยดบนพื้นทราย — มันคือภาพพจน์ของบาป การไถ่ และความตาย
นักแสดง: น้ำหนักของตัวละครเล็ก ๆ

Sharon Stone ไม่ได้มาเพียงแค่เล่นบทนำ เธอยังเป็นโปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังการดึง Sam Raimi มากำกับ และผลักดันให้ DiCaprio ได้รับบท Kid ทั้งที่สตูดิโอไม่เห็นด้วย นักแสดงอื่นอย่าง Russell Crowe ในบทบาทนักบวชที่เคยเป็นมือสังหาร ก็สร้างมิติทางศีลธรรมที่ซับซ้อนให้กับเรื่อง
แม้จะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยปืนและเลือด แต่ตัวละครที่โผล่เพียงไม่กี่ฉากยังมี “เรื่องราว” และ “น้ำหนัก” จนทำให้คุณรู้สึกได้ว่า ทุกคนที่อยู่ในเมืองนี้มีอะไรต้องไถ่บาปบางอย่าง
สรุป: ดวลปืนเพื่อฆ่าผีในใจ

The Quick and the Dead (เพลิงเจ็บกระหน่ำแหลก) ไม่ได้เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จนักตอนออกฉาย แต่เวลาทำให้มันได้รับการมองใหม่ในฐานะ “หนัง cult” ที่ทั้งสนุก ตลกร้าย และมีปรัชญาในตัวเอง มันทั้งเคารพ Western ยุคเก่า และพังทลายมันด้วยสไตล์เฉพาะของ Sam Raimi
บางที…ชัยชนะที่แท้จริงในเรื่องนี้ไม่ใช่การฆ่าเฮรอด แต่คือการที่ Ellen ได้ยิงกระสุนออกไปจากปืน โดย ไม่หลับตา อีกต่อไป

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ