สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn) หลังจากเริ่มฉายใน Netflix ซีรี่ส์ไทยเรื่องนี้ก็ถูกพูดถึงในวงกว้างทันทีทันใด พร้อมกับความอัดอั้นของ ผกก. ทีมงานเบื้องหลัง พรั่งพรูออกมาเต็มโซเชียลมีให้อ่านกันยาวๆ รวมถึงบทสัมภาษณ์เก่าๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจของเรื่องนี้อย่าง คมสันต์ แซ่ลี เจ้าของ Flash Express ก็ถูกย้อนกลับมาให้คนไปตามฟังกันอีกรอบอีกต่างหาก นั่นเลยคิดว่าการรีวิวเรื่องนี้จะเขียนดีมั้ยนะ เพราะคงมีที่อ่านที่อื่นกันเยอะแยะไปแล้ว 🤣
แต่เอาเป็นว่าหลังจากดูครบจบทั้ง 7 ตอนแล้ว ถูกยกให้เป็นซีรี่ส์ขึ้นหิ้งอีก 1 เรื่องในทันที คำว่าหิ้งในที่นี้ไม่ใช่จำกัดเฉพาะซีรี่ส์ไทยที่ชื่นชอบนะครับ นี่รวมให้ถึงซีรี่ส์จากต่างประเทศรวมไปด้วยเลยก็ยังได้
ก็ต้องยอมรับว่าถูกปราณีตในการสร้าง การเขียนบท การเลือกนักแสดง การเลือกสถานที่ถ่ายทำ การตัดต่อ จนเรื่องมันออกมาแทบไม่มีที่ให้ติเลย ดูแล้วมีแต่การพุ่งทะยานไปข้างหน้า เทหมดหน้าตักเหมือนที่สันติทำตั้งแต่อีพีแรกนั่นเลย
แต่โน้ตไว้นะครับ ซีรี่ส์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของคมสันต์ แซ่ลี แต่ไม่ใช่หนังชีวประวัติของเขาแต่อย่างใด หลายๆ อย่างถูกเติมแต่งเข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรส แม้หลายๆ อย่างในแต่ละก้าวจะสะท้อนชีวิตจริงก็ตาม เช่น เด็กที่โตบนดอยและยากจน การทุ่มหมดหน้าตักในการลงทุนเมื่อเห็นโอกาส การโดนพาร์ทเนอร์หักหลัง(ซึ่งในโซเชียลกำลังเดากันว่าเจ้าโน่นเจ้านี้) แต่มันไม่ใช่หนังชีวประวัติอย่างที่ๆ เคยเห็นมา มันเลยดูได้ดราม่าและสนุกขึ้น
นอกจากสิ่งที่ชอบในการเขียนบทที่ไม่เวิ่นเว้อ การดำเนินเรื่องที่ไม่มีจุดที่รู้สึกเบื่อเลย แม้ว่าจะดร็อปๆ ลงในช่วงท้ายที่สันติชนะในเกมแล้วก็ตาม นั่นก็คือการแสดงของตัวละครนำอย่าง สันติ โดย ไอซ์ซึ, เสี่ยวหยู – เจนเย่-เมธิกา และ รุ่ยเจี๋ย – ดร.พลัง โลกศิลป์ สำหรับไอซ์ซึนั่นผมไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้ว เรื่องนี้ทำเกินมาตรฐานที่เคยเห็นด้วยซ้ำ แต่สองคนหลังนี่สิเล่นดีไม่แพ้กัน
รวมถึงนักแสดงสมทบอย่าง ธเนศ, พีช-พชร และ แม้แต่ตัวประกอบเอ๊กตร้าอย่างเหล่าแก๊งไรเดอร์และเพื่อนของสันติอย่างบอม, คนขับรถพาร์ทเนอร์ที่แอบดูดม้าเมื่อหลายวันก่อนแล้วโดนตำรวจเรียก ก็ยังเล่นดีเลย เครดิตก็ต้องยกให้ทีมแคสติ้ง กับ ผู้กำกับแหละ ที่ถ่ายทอดอารมณ์ผ่านงานภาพได้อย่างดี
ส่วนดีเทลเรื่องทีม Tech นั้นก็ทำออกมาค่อนข้างได้สมจริง ให้คนที่ไม่รู้เรื่อง Tech ก็เข้าใจได้ง่าย เพราะความใส่ใจไงครับ ของคุณภาพมันเลยออกมาได้แบบนี้
พอเรื่องราวการต่อสู้ทางธุรกิจแบบรสชาติที่เคยเห็นในต่างประเทศ รวมไปกับเรื่อง Tech เล็กๆ ที่ตั้งไข่เพื่อจะเติบโตแบบ Start up เรื่องราวดราม่ารักๆ ใคร่ๆ ใส่มาพอกรุ๊บๆ กริบๆ แล้วมันลงตัวมากๆ ออกมาเป็น “ลูก” ที่เติบโตสมบูรณ์ของ ผกก. ด้วยเลย
แล้วสิ่งหนึ่งที่แอบเชียร์มาในระหว่างเรื่องที่นอกเหนือจากเรื่องหลักก็เรื่องความรักของ สันติ และ เสี่ยวหยู นี่แหละ ทำออกมาได้ดีมาก เพราะส่วนตัวแอบลุ้นให้สองคนนี้อย่าสมหวังกันนะ ไม่งั้นมันจะเฝื่อนมากก ซึ่งดีแล้วที่จบและลงตัวแบบนี้ เพราะถ้าเป็นหนังสูตรสำเร็จทั่วไป เลียม (บี้-ธรรศภาคย์) ไม่ทำตัวนิสัยแย่หรือเจ้าชู้ เพื่อส่งบทให้พระนางสมหวังกันแบบนั้น
สุดท้ายแล้วตอนแรกว่าจะไม่เขียน หรือ เขียนว่าชอบเรื่องนี้มาก มาถึงบรรทัดนี้ได้ไงก็ไม่รู้ เลยแนะนำว่าหากยังไม่ได้ดูเรื่องนี้แนะนำให้ดูเลยนะครับ มันควรค่าและเข้าถึงกับคนไทยส่วนใหญ่ได้แน่นอน และเมื่อมันสำเร็จเป็นวงกว้างขึ้น ผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นการพัฒนาละครไทยให้ก้าวไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้นได้เช่นกันครับ
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ