Skip to content

In My Time of Dying: Led Zeppelin | การคืนชีพของบลูส์จนผงาดเป็นบทเทศน์แห่งเซปเปลิน

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

“In My Time of Dying” ไม่ได้เริ่มต้นเป็นบทเพลงอันยิ่งใหญ่ยาวนานสิบนาทีที่ทำให้เพดานสั่นสะเทือนและอาบด้วยเสียงก้อง แต่เนื้อแท้ของมันย้อนกลับไปถึงดินแดนปากแม่น้ำอันแห้งผาก เป็นบทเพลงกอสเปล-บลูส์ที่ถูกบันทึกครั้งแรกในยุค 1920 โดย บลายด์ วิลลี่ จอห์นสัน(Blind Willie Johnson) ภายใต้ชื่อ “Jesus Make Up My Dying Bed” มันคือการโอดครวญที่แทบจะไร้การปรุงแต่งจากดวงวิญญาณ เสมือนผู้ที่กำลังแขวนชีวิตอยู่บนเส้นด้ายบางๆ กำลังค้นหาความสงบและการไถ่บาป ในช่วงตลอดหลายทศวรรษ บทเพลงนี้ได้ผ่านมือของ บ็อบ ดีแลน(Bob Dylan) และศิลปินอื่นๆ หลากหลายรูปแบบ แต่ยังคงแก่นทางจิตวิญญาณไว้เสมอ เป็นเพลงที่ร้องเมื่อคุณเหยียบขาข้างหนึ่งในหลุมศพและอีกข้างในคำเทศนาอันร้อนแรง

แต่เมื่อเหล่าเรือเหาะว่องเวหา “เลด เซปเปลิน”(Led Zeppelin) ได้เพลงนี้มาครอบครองในปี 1974 พวกเขาไม่ได้แค่คัฟเวอร์มันเท่านั้น แต่พวกเขาปลุกวิญญาณมันขึ้นมาใหม่ สิ่งที่ทำให้เวอร์ชั่นของพวกเรือเหาะโด่งดังไม่ใช่แค่การแปลงร่างจากบลูส์อันศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นการฟื้นคืนชีพแบบฮาร์ดร็อกเต็มรูปแบบ แต่เป็นวิธีที่สมาชิกแต่ละคนเทจิตวิญญาณของตัวเองลงไปในเพลง กลองของ จอห์น บอนนั่ม ไม่ได้แค่นับจังหวะ สไลด์กีตาร์ของ จิมมี่ เพจ ร่ำไห้ราวกับเหล็กขูดกับกระดูก โจนส์ คุมจังหวะเบสดั่งพิธีกรรมตามจังหวะเต้นของหัวใจ ในขณะที่ โรเบิร์ต แพลนท์ ครวญครางและร้องโหยหาเหมือนชายที่กำลังต่อรองกับพระเจ้า “In My Time of Dying” ของพวกเขา ซึ่งบันทึกสดในสตูดิโอสำหรับอัลบั้ม Physical Graffiti ที่วางแผงในปี 1975 ได้กลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งบทสวดมนต์ยาวกว่า 10 นาทีที่เปลี่ยนจากการต่อสู้และการร้องขอ ให้ลอยขึ้นสู่การยกระดับทางจิตวิญญาณ

การต่อรองกับนิรันดร์กาล: ความหมายของเพลงในเบื้องหลังเสียงคร่ำครวญ

ในแก่นแท้แล้ว “In My Time of Dying” คือพินัยกรรมสุดท้ายของชายผู้หนึ่ง  ไม่ใช่แค่การบอกลา แต่เป็นการเจรจาต่อรองอย่างดุเดือดกับชะตากรรม เป็นเสียงร้องขอให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งโลกมนุษย์ เป็นการวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้เกิดจากความกลัว แต่มาจากความพร้อม เวอร์ชั่นของเลด เซปเปลิน ไม่ได้กระซิบข้อความนี้ แต่พวกเขากรีดร้องมันเข้าสู่ความว่างเปล่า เส้นแบ่งอันเลือนรางระหว่างความสิ้นหวังกับความท้าทาย ไม่ใช่เรื่องของความตายในฐานะจุดจบ แต่เป็นการชำระบัญชีครั้งสุดท้าย  ช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณบอบช้ำและร้อนใจนั้น เรียกร้องที่จะเดินฝ่าเปลวเพลิงด้วยเงื่อนไขของตัวเอง ในมือของเลด เซปเปลิน ความตายไม่ใช่การยอมจำนน แต่เป็นพายุอันบ้าคลั่ง

แปลเพลง In My Time of Dying

In my time of dying | ในยามที่ข้าจะลาลับจากโลกนี้

Want nobody to mourn | ข้าไม่อยากให้ผู้ใดร่ำไห้คร่ำครวญ

All I want for you to do | สิ่งเดียวที่ข้าขอจากเจ้า

Is take my body home | คือจงพาร่างของข้ากลับบ้าน

Well, well, well, so I can die easy | เอาเถิด เอาเถิด เพื่อข้าจะได้จากไปอย่างสงบ

Well, well, well, so I can die easy | เอาเถิด เอาเถิด ให้ความตายมาหาข้าอย่างอ่อนโยน

Jesus gotta make up, sure know | พระเยซูเจ้าจะทรงเตรียมไว้แน่แท้

Jesus gotta make up | พระองค์จะทรงจัดแจงให้พร้อม

Jesus gonna make up my dyin’ bed | พระเยซูจะเป็นผู้ปูเตียงแห่งความตายให้ข้าเอง

Meet me, Jesus, meet me | โปรดพบข้าเถิด พระเยซูเจ้า โปรดเสด็จมาหาข้า

Ooh, meet me in the middle of the air | พบข้ากลางเวหา ในระหว่างฟ้าดิน

If my wings should fail me, Lord | หากปีกของข้าพลันอ่อนแรง ท่านพระเจ้า

Oh, please meet me with another pair | ขอจงประทานปีกคู่ใหม่ให้ข้า แล้วพบข้าเถิด

Well, well, well, so I can die easy | เอาเถิด เอาเถิด เพื่อข้าจะจากไปโดยไร้ห่วง

Oh-oh, well, well, well, so I can die easy | เอาเถิด เอาเถิด ให้ข้าได้หลับตาอย่างสงบ

Jesus gotta make up, somebody, somebody | พระเยซูจะทรงเตรียมไว้ มีใครบางคนแน่

Oh, oh, Jesus gotta make up | โอ พระเยซูจะไม่ทรงละทิ้งข้า

Jesus gonna make it my dyin’ bed | พระองค์จะทรงจัดเตียงแห่งความตายนี้ให้แก่ข้า

Oh, Saint Peter, at the gates of heaven | โอ เซนต์ปีเตอร์ ท่านผู้เฝ้าประตูสวรรค์

Won’t you let me in? | ขอเถิด ท่านจะไม่ให้ข้าเข้าไปหรือ?

I never did no harm | ข้าไม่เคยทำร้ายผู้ใดเลย

I never did no wrong | ข้าไม่เคยล่วงเกินสิ่งใดผิดธรรม

Oh, oh, Gabriel, oh, let me blow your horn | โอ กาเบรียล ขอให้ข้าได้เป่าลำแตรของท่าน

Let me blow your horn | ให้ข้าเป่าสัญญาณแห่งการกลับบ้าน

Oh, I never did no harm | ข้ายืนยันว่ามิเคยทำร้ายผู้ใด

Did no wrong | มิเคยล่วงเกินหรือกระทำผิด

I’ve only been young once | ข้าเคยเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสา

I never thought I’d do anybody no wrong | ข้าไม่เคยคิดจะทำร้ายผู้ใดเลย

No, not once, oh | สาบานเถิด ไม่แม้แต่สักครั้ง

Oh, good! | โอ… ดีแล้ว!

Oh, I did somebody so good | ข้าเคยกระทำความดีต่อใครบางคน

Somebody some good, yeah, I saw | แน่ละ ข้าเห็นความดีงามที่ได้ทำ

Oh, did somebody some good, yeah | ใช่ ข้าเคยทำสิ่งดีให้แก่เขา

I musta did somebody some good, yeah | ข้าคงเคยทำความดีไว้แก่ใครบางคนแน่

Oh, I believe I did | ใช่ ข้าเชื่อว่าข้าทำไว้แล้ว

I see the smiling faces, yeah | ข้ามองเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มเหล่านั้น

I know there must be lipstick traces, oh | ข้ารู้ว่ามันมีรอยจูบบนริมฝีปากหลงเหลืออยู่

And I see them in the streets | ข้าเห็นพวกเขาในถนนหนทาง

And I see them in the fields, yeah | ข้าเห็นพวกเขาในท้องทุ่งกลางแดดจ้า

And I hear them under my feet | และข้าได้ยินเสียงพวกเขาอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า

And I know it’s got to be real | ข้ารู้ดีว่านี่คือความจริงอันลึกซึ้ง

Oh, Lord, deliver me | ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยปลดปล่อยข้า

All the wrong I’ve done | จากบาปทั้งปวงที่ข้าเคยทำ

Oh, you can deliver me, Lord, yeah | พระองค์สามารถปลดเปลื้องข้าได้แน่นอน

I only wanted to have some fun | ข้าเพียงแค่อยากมีความสุขกับชีวิตบ้าง

Oh, hear, the angels marching, marching | ได้ยินไหม เหล่านางฟ้ากำลังก้าวเดินอย่างสง่างาม

They been marching, keep it marching, yeah, marching | พวกเขาเดินมาอย่างไม่หยุดยั้ง เดินมาเรื่อยๆ สม่ำเสมอ

Oh, my Jesus, oh, my Jesus, oh, my Jesus | โอ พระเยซูของข้า พระเยซูของข้า พระเยซูของข้า

Oh, my Jesus, oh, my Jesus, oh, my Jesus | พระเยซูของข้า พระเยซูของข้า พระเยซูของข้า

Oh, my Jesus, oh, my Jesus, oh, my Jesus | พระเยซูเจ้าผู้ทรงเมตตา พระเยซูเจ้าผู้ทรงไถ่บาป

Oh, my Jesus, oh, my Jesus, oh, my Jesus | พระองค์คือความหวังยามสุดท้าย พระองค์คือการหลุดพ้น

Oh, my Je, ah-oh, ah, my Je | โอ พระเยซู… โอ… พระเยซูของข้า

Hey, yeah, that’s got to be my Jesus | ใช่แล้ว… นั่นต้องเป็นพระเยซูของข้าแน่นอน

Whoa-whoa! | โอ้โฮ…

It’s got to be, it’s got to be my Jesus | ต้องเป็นพระองค์แน่ ต้องเป็นพระเยซูของข้า

It’s got to be, oh | ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว

It’s got to be my Jesus | พระองค์เท่านั้นคือความจริงแท้ของข้า

Oh, oh, take me home | โอ… โปรดพาข้ากลับบ้านเถิด

Come on, come on | มาเถิด พาข้าไป

I can hear the angels singing | ข้าได้ยินเสียงนางฟ้าขับร้อง

Oh, here they come, here they come, here they come | นั่นพวกเขามาแล้ว มาแล้ว มาแล้ว

Bye-bye, bye-bye | ลาก่อน ลาก่อน

Bye-bye, bye-bye, bye-bye | ลาก่อน ลาก่อน ขอลาจาก

Oh, feels pretty good up here, pretty good up here | โอ… ที่นี่มันช่างสงบและดีเหลือเกิน

I’ll touch Jesus, I’ll touch Jesus, I’ll touch Jesus | ข้าจะได้สัมผัสพระเยซู ข้าจะได้สัมผัสพระเยซู

I’ll touch Jesus, I’ll touch Jesus | ข้าจะได้อยู่ใกล้พระองค์จริง ๆ

Oh, oh, oh, oh, oh, oh, oh, yeah | โอ โอ โอ… สวรรค์ช่างงดงามยิ่งนัก

Oh, I see him | ข้ามองเห็นพระองค์แล้ว

Come on | มาเถิด พาข้าไป

Take it, take it, take it, take it, take it, take it | รับข้าไว้ รับข้าไว้ พระองค์โปรดรับข้าไว้

Take it, take it, take it, take it, take it, take it, take it | รับจิตวิญญาณของข้าไปเถิด โอพระองค์

Ooh, yes, come on, oh, oh, yeah! | ใช่แล้ว มาเถิด! โอ ใช่แล้ว!

Oh, don’t you make it my dyin’, dyin’, dyin’ cough | โอ… โปรดอย่าปล่อยให้ลมหายใจสุดท้ายของข้าต้องทุกข์ทรมาน

That’s gonna be the one, asn’t it? | นั่นแหละ คือช่วงเวลานั้นแน่ใช่ไหม?

Come and have a listen, then | จงมารับฟังเสียงลาจากนี้

Oh, yes, thank you | โอ… ขอบพระคุณ พระผู้เป็นเจ้า

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole