Skip to content

[รีวิว] Apocalypse Now (1979) : กองทัพอำมหิต

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

Apocalypse Now ชื่อไทย กองทัพอำมหิต คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องนึงเท่าที่เคยดูมา เป็นผลงานชั้นครูอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นศักยภาพพลังของการเล่าเรื่องกับงานสร้างที่พิถีพิถัน แม้จะผ่านกาลเวลาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ก็ยังเป็นที่กล่าวถึงจนในปัจจุบัน รวมถึงติดใน TOP 250 Movies ใน IMDB มาอย่างยาวนาน

เนื้อเรื่องนั้นจะเป็นช่วงในสงครามเวียดนาม ที่ติดตามการเดินทางของผู้กองวิลลาร์ด นายทหารในหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจลับ ลึกเข้าไปในป่าเพื่อค้นหาและสังหารผู้พันเคิร์ตซ์ นายทหารที่เสียสติและหนีทัพไปสร้างตัวเองเป็นผู้นำกองทัพของตนเอง เราจะพบกับการเดินทางเต็มไปด้วยอันตรายและการผจญภัยในป่าและลำน้ำนัง(Nùng )ของเวียดนาม ที่จะพบเจอทั้งมิตรและศัตรู ที่เป็นเรื่องราวอันแปลกประหลาดตลอดทาง

เรื่องราวจากหน้าหนังแม้จะดูเหมือนว่าเป็นสงครามแอ็คชั่น แต่น้ำหนักในหนังส่วนใหญ่ก็เต็มไปด้วยความน่ากลัวของสงครามและสภาพจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ที่ความมืดหม่นของอารมณ์นั้นสามารถกลืนกินเราทุกคนเพื่อความอยู่รอด เล่าผ่านตัวละครแต่ละคนที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันออกไป โดยใช้แรงจูงใจและความกลัวของตัวละครเป็นการขับเคลื่อน เป็นประสบการณ์ให้เห็นวิธีการเล่าเรื่องที่หลากหลายแบบจากหนังสงครามเพียงเรื่องเดียว

ส่วนระหว่างการถ่ายทำก็ประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น เช่น ปัญหาทางการเงิน พายุไต้ฝุ่นทำลายฉาก และนักแสดงนำมาร์ติน ชีนมีอาการหัวใจวายระหว่างการถ่ายทำ อย่างไรก็ตามผู้กำกับ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ก็ผ่านพ้นมาได้และสร้างผลงานมาสเตอร์พีซของหนังสงคราม ที่สร้างแรงบันดาลใจภาพยนตร์อีกหลายๆ เรื่องตามมา รวมถึงการมีทีมนักแสดงที่นำโดยมาร์ติน ชีน กับบท ผู้กองวิลลาร์ด และ มาร์ลอน แบรนโด กับบทบาท ผู้พันเคิร์ตซ์ และทีมนักแสดงสมทบชื่อดังอย่าง โรเบิร์ต ดูวัล, เดนนิส ฮอปเปอร์, ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น และ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ซึ่งทุกการแสดงที่โดดเด่นทำให้ตัวละครเหล่านั้นดูมีชีวิตจริงๆ

ตัวละครในเรื่อง

ผู้กอง เบนจามิน แอล. วิลลาร์ด (แสดงโดยมาร์ติน ชีน): เป็นตัวเอกของเรื่อง มีความสามารถในการแทรกซึมเพื่อปฏิบัติการลับให้กับกองทัพบกสหรัฐฯ ผู้ช่ำชองสงครามและเสพย์ติดการปฏิบัตภารกิจ หากสังเกตตอนต้นเรื่องตอนอยู่ในโรงแรมนั้น เค้ามีการร่ายยำคล้ายกับคนที่เสียสติ (หลายฉากเราจะเห็นคนที่เริ่มเสียสติร่ายรำแบบนี้) เมื่อ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสุดอันตรายในการค้นหาและสังหารพันเอกเคิร์ตซ์ ตัวละครของวิลลาร์ดค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งตลอดทั้งเรื่อง ในขณะที่เขาอ่านแฟ้มลับของพันเอกเคิร์ตซ์นั้น เค้าค่อยๆ เห็นความน่าสะพรึงกลัวของสงครามและส่วนลึกของความเป็นมนุษย์ของเขาเอง ถูกหลอกหลอนโดยความคลุมเครือทางศีลธรรมของภารกิจของเขา และต่อสู้กับด้านมืดในตัวเอง ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ซับซ้อนและน่าติดตาม

พันจ่าเอก จอร์จ ฟิลลิปส์ (แสดงโดยอัลเบิร์ต ฮอลล์): เป็นหัวหน้าทีม(Chief)ผู้บังคับการเรือลาดตระเวน : PBR ชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่ต้องคอยซัพพอร์ทผู้กองวิลลาร์ดไปยังจุดหมายที่เป็นความลับในภารกิจของเขา ให้คำแนะนำและความรู้แก่ลูกเรือและทำหน้าที่เป็นเข็มทิศทางศีลธรรมท่ามกลางความโกลาหลของสงคราม ‘ชีฟ’ ยังมีลูกทีมอีก 3 คนในเรือด้วยคือ เชฟช่างเครื่อง, แลนซ์ และ คลีน ที่เป็นจ่าปืน (Gunner’s mate) ทั้งคู่

เจย์ ‘เชฟ‘ ฮิกส์ (แสดงโดยเฟรเดริก ฟอร์เรสต์): เชฟเป็นนายช่างกล(EN3) ประจำเรือ นอกจากเป็นช่างเครื่องแล้ว เขายังเป็นพ่อครัวของเรือและทำหน้าที่เป็นแหล่งคลายเครียดในบางครั้ง อย่างไรก็ตาม ในขณะที่การเดินทางดำเนินไป เชฟได้รับผลกระทบจากความบ้าคลั่งและความโหดร้ายของสงครามมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวละครของเขาเป็นตัวแทนของทหารธรรมดาๆ จมอยู่ในสงครามที่เขาอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และประสบกับผลกระทบที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นกับเขา

แลนซ์ บี. จอห์นสัน (แสดงโดยแซม บอททอมส์): แลนซ์เป็นลูกเรือตำแหน่งจ่าปืน(GM3)บนเรือ ในตอนแรกเขาดูไร้เดียงสาและไม่มีประสบการณ์ แถมยังเป็นนักเล่นกระดานโต้คลื่นที่มีชื่อเสียงจากออร์เรนจ์เคาท์ตี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่เมื่อการเดินทางเข้าสู่ความมืดหม่นเข้าเรื่อยๆ เขาก็แยกตัวออกจากความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แลนซ์เป็นชายหนุ่มที่ถูกครอบงำด้วยความสับสนอลหม่านและความโหดร้ายของสงคราม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสูญเสียความบริสุทธิ์และผลกระทบที่สงครามมีต่อทหารหนุ่ม

ไทโรน ‘คลีน’ มิลเลอร์ (แสดงโดยลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น): คลีนเป็นจ่าปืนอีกคนที่อายุน้อยที่สุดในทีม เป็นตัวแทนของทหารในสงครามที่อ่อนเยาว์และขาดวุฒิภาวะ เขาเข้าร่วมกองทัพเพื่อจะพิสูจน์ตัวเองให้หนีจากสลัมในนิวยอร์ค ตัวละครของคลีนแสดงให้เห็นผลลัพธ์อันน่าเศร้าของการทำให้เยาวชนต้องผจญกับความน่าสะพรึงกลัวของสงคราม ในขณะที่เขากลายเป็นเหยื่อของความรุนแรงที่เขาเผชิญเช่นกัน

พันโท บิลล์ คิลกอร์ (แสดงโดยโรเบิร์ต ดูวัลล์): เป็นผู้นำที่มีเสน่ห์และกล้าหาญที่บังคับบัญชาหน่วยจู่โจมเฮลิคอปเตอร์ชั้นยอดในช่วงสงครามเวียดนาม สไตล์ความเป็นผู้นำของเขาโดดเด่นด้วยความมั่นใจที่แน่วแน่ ท่าทางก๋ากั่น และความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการทำภารกิจให้สำเร็จ วิธีการนอกรีตและการปลีกตัวออกจากความทุกข์ทรมานที่เกิดจากสงครามของคิลกอร์ เน้นให้เห็นถึงความคลุมเครือทางศีลธรรมของผู้นำทางทหาร อย่างไรก็ตาม ทักษะทางยุทธวิธีและความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับกองทหารของเขาทำให้เขาเป็นที่นับถือ ตัวละครของคิลกอร์ทำหน้าที่เป็นการสำรวจที่น่าสนใจเกี่ยวกับความซับซ้อนและความท้าทายทางจริยธรรมที่ผู้นำต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง แถมยังบ้าคลั่งการโต้คลื่นอย่างเข้าเส้นยอมแม้กระทั่งเสี่ยงกองร้อยตัวเองเข้าชิงพื้นที่จากเวียดกงเพียงเพราะว่าหมู่บ้านนี้ติดชายฝั่งที่คลื่นเหมาะกับการโต้คลื่นมาก เป็นอย่างที่วิลลาร์ดสงสัยล่ะ..หากเคิร์ตซ์นั้นเสียสติแล้วคิลกอร์ล่ะ?

พันเอก วอลเตอร์ อี. เคิร์ตซ์ (แสดงโดยมาร์ลอน แบรนโด): เคิร์ตซ์เป็นบุคคลในตำนานของกองทัพบกสหรัฐและเป็นปริศนาในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษซึ่งกลายเป็นคนทรยศและก่อตั้งกองทัพที่โหดเหี้ยม ทำตัวเองเหมือนศาสดาในป่าลึก เคิร์ตซ์นำเสนอแง่มุมที่มืดมนที่สุดของสงครามและสำรวจประเด็นเกี่ยวกับอำนาจ ความบ้าคลั่ง และการเสื่อมทรามของจิตวิญญาณมนุษย์ ตัวละครของเขาทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนอันน่าสะพรึงกลัวของผลที่ตามมาจากสงครามและศักยภาพของความชั่วร้ายที่อยู่ในตัวเราทุกคน เราจะพบจุดพลิกพันเหตุใดทำให้เคิร์ตซ์ถึงเป็นแบบนี้ ก็เพียงเพราะว่าเค้ารับมือกับตัวเองไม่ได้ เมื่อเคยคุ้มกันหน่วยแพทย์ไปฉีดยาให้เด็กๆ ในหมู่บ้าน แต่แล้วเด็กที่ได้รับการฉีดยาทั้งหมดนั้นถูกตัดแขนข้างที่ฉีดยาทั้งหมด เค้ารับมือมันไม่ไหวแต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจเหตุที่เวียดกงเหี้ยมโหดด้วยเช่นกัน นั่นทำให้เค้ายอมแพ้แก่จิตใจของตัวเองที่ไม่โหดเหี้ยมเท่า รวมถึงรู้สึกถึงคำโกหกของเหล่าผู้บังคับบัญชา ขณะที่เริ่มหยุดตัวเองไม่ได้แล้วนั้น เค้าก็รอวันที่หน่วยงานส่งคนมากำจัดตัวเขาทิ้งเองเสีย

พอเห็นรายละเอียดตัวละครแล้ว ประกอบกับวิธีการเล่าเรื่องนั้นจะพบว่าตัวหนังนั้นเป็น Boat Trip ล่องเรือผ่านเข้าไปในจุดที่ไกลของไปเรื่อยๆ ซึ่งเปรียบเสมือนจิตใจที่ห่างไกลจากความสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่องที่เราจะประสบพบเจอนั้น เมื่อล่องเรือไกลเท่าไหร่ เราจะพบความบ้าคลั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้กองวิลลาร์ดคนเดียวเท่านั้นที่รับมือได้ ส่วนลูกทีมของชีฟจะค่อยๆ คุ้มคลั่งขึ้นมาจนรับไม่ค่อยไหวแทน

สเพลงประกอบภาพยนตร์ของเรื่องก็นับว่าเป็นคอลเลกชั่นทางดนตรีชั้นยอด ที่ช่วยเสริมบรรยากาศของภาพยนตร์ออกมาได้อย่างดี และได้กลายเป็น ICON ของวงการภาพยนตร์เรื่องนึงเลยก็ว่าได้ การรวบรวมแนวเพลงไว้อย่างหลากหลายแนว เช่น ดนตรีคลาสสิก, ร็อก, และป๊อป

ซาวนด์แทรคที่น่าจดจำของเรื่องนี้คือเพลง “The End” สุดหลอนและโด่งดังจากวง The Doors ซึ่งบรรเลงในฉากเปิดเรื่อง ขณะที่ผู้กองวิลลาร์ดรำลึกประสบการณ์ในอดีตอันเจ็บปวดเพราะสงคราม ภาษากายขณะร่ายรำกับเพลงนี้แสดงถึงความปวดร้าวในจิตใจออกมาให้เห็น และคิดว่าหลายๆ คนรู้จักเพลงนี้เพราะว่าหนังเรื่องนี้กันเยอะมากด้วยครับ

ฉากกองคาราวานเฮลิคอปเตอร์โจมตีเวียดกงนั้นใช้เพลง “Ride of the Valkyries” ของ Wagnerสร้างความรู้สึกที่แตกต่างอย่างเยือกเย็นระหว่างความสวยงามของดนตรีและความรุนแรงบนหน้าจอ และยังมีเพลงฮิตๆ เข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศของภาพยนตร์ได้อีก อย่างเช่น Susie Q โดย Flash Cadillac, (I Can’t Get No) Satisfaction ของ The Rolling Stones และ Surfin’ Safari จาก the Beach Boys

เมื่อครั้งออกฉายในปี 1979 ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยนักวิจารณ์หลายคนยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอกของวงการภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 8 รางวัล และคว้ามาได้ ถึง 2 รางวัล คือ Best Cinematography กับ Best Sound ของปี 1980  และยังได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ส่วนตัวแล้วใครกำลังคิดว่าอยากดูหนังเรื่อง Apocalypse Now ว่าจะสนุกมั้ย ก็นับว่าควรค่ากับการดูหนังที่ดีมากๆ เรื่องนึงเลยนะครับ เพราะมัน เป็นภาพยนตร์ที่ต้องดูสำหรับคนที่สนใจเกี่ยวกับงานผลิตภาพยนตร์ ไม่ว่าอยากจะดูวิธีการดำเนินเรื่องให้เห็นสภาพจิตใจของมนุษย์ที่ค่อยๆ เข้าสู่ด้านมืด หรือจะเป็นงานด้านโปรดักชั่นและงานภาพอลังการแบบที่ไม่ได้พึ่ง CGI เลย ดังนั้นอย่าได้ลังเลที่จะสัมผัสผลงานชิ้นเอกนี้ด้วยตัวคุณเอง เพื่อดูว่าเหตุใดยังคงคลาสสิกเหนือกาลเวลามาถึงปัจจุบัน

ที่มาของรูป pagesix.com

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *