Skip to content

[รีวิว] Some Like It Hot : อรชรอ้อนรัก ภาพยนตร์ตำนาน มนต์เสน่ห์ที่ยังคงอยู่ตลอดกาล (1959)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

โกยเสียงหัวเราะจากผู้ชมมาอย่างยาวนาน “Some Like It Hot – อรชรอ้อนรัก” คือภาพยนตร์ตลกเพชรน้ำงามจากปี 1959 ที่ผสมผสานองค์ประกอบของความสนุกสนาน ตลกเฮฮา ฉากรักเร้าร้อน และการแสดงอันยอดเยี่ยมจากสามนักแสดงมากฝีมือ มาริลีน มอนโร, โทนี่ เคอร์ติส และแจ๊ค เลมมอน เข้าด้วยกันอย่างลงตัว จนกลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกตลอดกาลที่คงกระพันความนิยมจนถึงทุกวันนี้ และคิดว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่เก่าที่สุดที่เคยดูมา(แบบจบเรื่อง)

เนื้อเรื่องเล่าถึงการหนีตายของสองหนุ่มนักดนตรีโจ(โทนี่ เคอร์ติส)และเจอร์รี่(แจ็ค เลมมอน)จากแก๊งค์มาเฟีย จนสองหนุ่มนักดนตรีต้องปลอมแปลงเป็นสาวนัดดนตรีในวงอื่น พวกเขาผจญภัยไปพร้อมกับชูการ์ เคน (มาริลิน มอนโร) อารมณ์ขันยอดเยี่ยมจากการแสดงของ โทนี่ เคอร์ติส, แจ็ค เลมมอน และมาริลีน มอนโร ในภาพยนตร์ตลกเพชรเม็ดงามในอดีต ที่ยังคงได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเรื่องราวแนวคิดสนุกสนาน การเล่นพลิกบทบาทหญิงชาย และฉากรักคอมเมดี้อันเซ็กซี่เร้าร้อน

ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องอันที่ทำออกมาอย่างดีและเคมีระหว่างนักแสดงที่ลงตัว ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงครองใจผู้ชมด้วยอารมณ์ขันเฉียบคมตลอดทั้งเรื่อง ฝีมือการกำกับของบิลลี่ ไวล์เดอร์ผสานอารมณ์ขันหวือหวาเข้ากับบทสนทนาคมคายอย่างกลมกลืน ขณะที่เคมีระหว่างนักแสดงนำ โทนี่ เคอร์ติส, แจ็ค เลมมอน และมาริลีน มอนโรสร้างเสน่ห์เย้ายวนใจ ไม่เพียงเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมเท่านั้น แต่ยังให้มุมมองเชิงลึกถึงความรัก อัตลักษณ์ และธรรมชาติมนุษย์ด้วยรสนิยมอันประณีต

ไคลแม็กซ์สุดเฮฮาของเรื่อง มาพร้อมความเข้าใจผิดตลกขบขันเมื่อโจปลอมตัวเป็นเศรษฐีจีบชูการ์ ขณะที่เจอร์รี่ถูกเศรษฐีสูงวัยไล่จีบหลงรักหัวปักหัวปำ ในท่ามกลางบรรยากาศหรูหราของรีสอร์ทริมชายหาดฟลอริด้า ตัวละครทั้งปวงต้องเผชิญหน้ากับความระส่ำระสายและความจริงที่ซับซ้อนของตนเอง โดยมุ่งสู่จุดจบอันขำขันและอบอุ่นหัวใจ การเปิดเผยความจริง การหลอกลวง และการเข้าใจผิดเหล่านี้สานต่ออารมณ์ขันยอดนิยม ด้วยฝีมือกำกับและการแสดงเหนือชั้นของนักแสดงทุกคน

ด้วยธีมแบบหัวก้าวหน้าที่เกี่ยวกับเพศสภาพและความเท่าเทียมทางเพศ ผสานเข้ากับอารมณ์ขันแนวคอมเมดี้ จึงออกมาเป็นภาพยนตร์คลาสสิกที่ทรงพลังและสนุกสนานจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านไปกว่า 6 ทศวรรษแล้ว แต่เสน่ห์ดึงดูดโดนใจผู้ชมจากทุกยุคทุกสมัย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงครองความนิยมอย่างยั่งยืน และยังคงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ตลกเพชรน้ำงามที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาลจากนักวิจารณ์มืออาชีพ

ในยุคที่ภาพยนตร์หลายเรื่องพึ่งพาเทคนิคสเปเชียลเอฟเฟกต์และคอมพิวเตอร์กราฟิก “Some Like It Hot – อรชรอ้อนรัก” กลับเป็นหนังคลาสสิกที่หวนกลับมาสดุดีพลังในการเล่าเรื่องและบทบาทการแสดงอันน่าประทับใจ ด้วยเสน่ห์คลาสสิกที่ไม่เคยเลือนหายไป หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าและได้รับความนิยมอย่างยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะเป็นสาวกมานานแค่ไหน หรือเพิ่งได้สัมผัสครั้งแรก, อัญมณีเพชรน้ำงามเรื่องนี้ก็สมควรแก่การสรรเสริญจากรุ่นสู่รุ่นตลอดไป นั่งลงอย่างผ่อนคลาย และมาเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงอมตะจากเรื่องนี้กันเถิดครับ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจาก imdb.com

  • ภายหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ผู้วิจารณ์ภาพยนตร์คนหนึ่งได้ถามโทนี่ เคอร์ติสว่าทำไม “โจเซฟีน” ของเขาจึงดูหญิงพรรณ์มากกว่า “ดาฟนี่ย์” ของแจ็ค เลมมอน เคอร์ติสอธิบายว่า เขากลัวมากที่ต้องแสดงเป็นผู้หญิง (หรือผู้ชายที่แสดงเป็นผู้หญิง) จนทำให้ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาดูละมุนละไมและขรึมเขรียบ ซึ่งถือเป็นลักษณะดั้งเดิมของผู้หญิง ในขณะที่เลมมอนไม่ได้รังเกียจเรื่องนี้เลย และ “วิ่งออกมาจากห้องแต่งตัวร้องไห้เสียงดังราวกับนางงามเทศกาล” ทำให้เขายังคงท่าทางเคลื่อนไหวแบบผู้ชายอยู่
  • แม้การฉายรอบปฐมทัศน์ได้รับผลตอบรับไม่ดีจนถูกแนะนำให้ลองตัดต่อใหม่ แต่บิลลี่ ไวลด์เดอร์มั่นใจในคุณภาพหนังตลกเรื่องนี้และยืนยันที่จะไม่แก้ไขอะไร ก่อนที่การฉายรอบถัดไปจะกลายเป็นปรากฏการณ์ยอดนิยมจากเสียงปรบมือครั่นโรงของผู้ชม
  • ถึงแม้จะต้องใช้เวลาถึง 47 แทคเพื่อให้มาริลีน มอนโรกล่าวประโยค “It’s me, Sugar” ได้ถูกต้อง หลังจากเธอพูดผิดเป็น “Sugar, it’s me” หรือ “It’s Sugar, me” ออกไปหลายครั้ง ผู้กำกับจำต้องเขียนบทสนทนาดังกล่าวลงบนกระดานดำมันเลย
  • และอีกฉากหนึ่งที่มาริลีน มอนโรต้องหาเหล้าบอร์เบิ้นในลิ้นชักโดยพูดว่า “Where’s the bourbon?” ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 59 แทคท่ามกลางการพูดผิดเป็น “Where’s the whiskey?”, “Where’s the bottle?” หรือ “Where’s the bonbon?” หลายสิบครั้ง จนผู้กำกับต้องติดบทสนทนาที่ถูกต้องไว้ในลิ้นชักมันทุกช่องเลย เพื่อให้งานนี้สำเร็จลุล่วง แม้แต่เมื่อมาริลีน มอนโรพูดประโยคนั้นได้สำเร็จแล้ว เธอก็หันหลังให้กล้องจนทำให้บางคนสงสัยว่าผู้กำกับอาจเลือกพากย์เสียงทับลงไปแทนในที่สุด
  • โทนี่ เคอร์ติสเล่าว่าเขาได้ขอผู้กำกับบิลลี่ ไวลด์เดอร์ เลียนแบบการพูดจาของคารี่ แกรนต์(Cary Grant) ตอนแสดงเป็นเศรษฐีพันล้านซึ่งไวลด์เดอร์ก็เห็นด้วยและปล่อยให้เคอร์ติสทำแบบนั้น หลังจากที่แกรนต์ได้เห็นการเลียนแบบตัวเองในหนังเรื่องนี้ เขาก็แสดงความขบขันว่า “ผมไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย”
  • แม้มาริลีน มอนโรต้องการให้หนังเรื่องนี้ถ่ายทำเป็นภาพสี (ตามสัญญาที่ระบุว่าภาพยนตร์ของเธอต้องเป็นสี) แต่เมื่อการทดสอบชุดแต่งกายเผยให้เห็นว่าเครื่องสำอางที่โทนี่เคอร์ติสและแจ็คเลมมอนใส่นั้นทำให้ใบหน้าของพวกเขาดูคล้ำเขียว บิลลี่ไวลด์เดอร์จึงโน้มน้าวให้มาริลีน มอนโรยอมรับให้ถ่ายทำเป็นภาพขาวดำในที่สุด
  • โอกาสที่จะได้รับบทบาทเจอร์รีในภาพยนตร์เรื่องดังหลุดลอยไปจากแฟรงค์ ซินาตรา เมื่อเขาเบี้ยวนัดบิลลี่ ไวลด์เดอร์เพื่อเจรจาบทบาทนี้

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *