Skip to content

[รีวิว] Analog Squad : ทีมรักนักหลอก (2023)

เวลาที่ใช้อ่าน : < 1 นาที

ทีมรักนักหลอก (Analog Squad) ซีรีส์ไทยแนวดราม่า-คอมเมดี้ ออกฉายทาง Netflix เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 เล่าเรื่องราวของ ปอนด์ (ปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม) ชายวัยกลางคนที่ห่างเหินกับพ่อมานาน เมื่อได้รับข่าวร้ายว่าพ่อป่วยหนัก เขาจึงตัดสินใจจ้าง เก๊ก (เจเจ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) คอลเซ็นเตอร์หนุ่ม ลิลลี่ (น้ำฝน กุลณัฐ) แฟนเก่า และ บุ้ง (ปริมมี่ วิพาวีร์ พัทธ์ณศิริ) เจ้าของร้านเช่าวิดีโอ ให้มาปลอมตัวเป็นครอบครัวของเขาเพื่อไปเยี่ยมพ่อในวาระสุดท้ายที่พังงา

ซีรีส์เรื่องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่พล็อตเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทย การนำเอาเรื่องการหลอกลวงมาสร้างเป็นเรื่องราวที่ชวนให้ติดตาม บวกกับฉากหลังที่ย้อนยุคไปในปี 1999 (พ.ศ.2542) ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในยุคนั้นในระหว่างการดำเนินเนื้อเรื่อง

เมื่อเปิดเรื่องเราก็จะพบวิธีการเล่าเรื่องและการเตรียมการแบบนักต้มตุ๋น ด้วยธีมที่ของงานภาพที่ละเอียดพิถีพิถันออกมาแบบหม่นๆ หรือไปทางมิวสิควิดีโอสลับกับเหมือนงานภาพ ททท.​บ้างบางอารมณ์ ที่เหมือนจะพาเราเข้าใจไปว่ามันคงจะตลกรอมคอม แต่เมื่อเราดูไปเรื่อยๆ แล้วเราจะเข้าใจไปว่ามันจะค่อยๆ ห่างเรื่องที่คิดไว้ออกไปพอควร

มิติของตัวละครและแกนหลักของเรื่อง จะเล่าถึงในส่วนที่ขาดหายในไปจากชีวิต ทุกตัวละครหลักในเรื่องจะไม่มีความสมบูรณ์แบบอยู่ในนั้น ที่แม้กระทั่งครอบครัวบุ้งเอง ที่เกริ่นออกมาเหมือนจะเพอร์เฟคที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเมื่อความจริงมาปรากฏทีหลังว่าพ่อแอบมีเมียน้อย และ มีน้องชายต่างแม่วัยรุ่นอยู่ด้วยอีกต่างหาก

รวมถึงดึงเอาส่วนที่คนดูในยุคนั้นหรือแม้แต่เด็กรุ่นหลังในยุคนี้ก็โหยหายเช่นกัน ในส่วนของธีมย้อนยุคไปช่วงก่อนปี 2000 ที่โลกในช่วงนั้นกำลังจะเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ เล่าในส่วนที่ขาดๆ ไม่สมบูรณ์ในการติดต่อกันได้ง่ายอย่างในปัจจุบัน ที่การติดต่อหากันต้องผ่านการฝากข้อความ​ “เพจเจอร์”​​,​ “ตู้โทรศัพท์สาธารณะ” เป็นต้น เป็นการนำเรื่องการติดต่อสื่อสารที่ลำบากในตอนนั้นออกมาเป็นเสน่ห์ในการขับเคลื่อนได้ดีเลย รวมถึงใช้ความเนิร์ดหนังของเหล่าคนเขียนบท มาเสริมเนื้อเรื่องการปลอมตัว เหตุผลต่างๆ นานา ก็นับว่าคาราวะวงการภาพยนตร์ได้ดีจริงๆ น้อยเรื่องที่วงการไทยจะทำแบบนี้

แต่ในระหว่างการดำเนินเรื่องของเนื้อเรื่องที่ถ่ายทอดออกมา เราก็จะมีข้อสงสัยอยู่ในใจมากมาย และแน่นอนว่าเราจะรอว่าจะเฉลยออกมาในทางไหน เมื่อเข้าสู่ EP ถัดๆ ไปเรื่องก็จะเพิ่มความดราม่า หักมุม เพิ่มเข้าไปอีก เป็นการพยายามปิดช่องโหว่ของเรื่องในตอนแรก เพื่อความสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น

และการที่เหล่านักแสดงเล่นได้เคมีได้เข้ากันในตรงนี้ จนทำให้เราอินได้ว่า ระยะเวลานิดเดียวอะไรทำให้สนิทกันได้เร็วขนาดนั้น จนมองข้ามตรงนี้ไปเลย นั่นแสดงว่าเหล่านักแสดงถ่ายทอดอารมณ์ บทสนทนาออกมาได้เต็มเพอร์ฟอร์แมนซ์ และอีกส่วนนึงก็เพราะเนื้อเรื่องที่นำส่วนที่ขาดหายมาเติมเต็มกันในตรงนี้นี่แหละ มันเลยทำให้ออกมาดีและเคมีที่เข้ากัน

จะมาเสียดายก็ช่วงท้ายๆ ของตอนจบ ที่เหมือนจะจบไม่ลง หาทางลงไม่ได้ รีบหวดแหวกแนวจากต้นเรื่อง มาออกแนวแฮปปี้เอนดิ้งแบบละครไทยๆ หรือบางฉาก​เช่นเจ้าหนี้ของปอนด์ อยู่ดีดีมันก็จบง่ายจนเกินไป ขาดการส่งอารมณ์ที่ต่อเนื่องไปสู่จุดถัดไปมากไปหน่อย เนื้อเรื่องบางตอนอยู่ดีๆ ก็เนิบช้าๆ ไปในหลายๆ ฉาก 

แต่รวมๆ แล้วเมื่อดูจนจบทั้งแปดตอน ก็นับว่าเป็นซีรี่ส์ไทยดีๆ อันนี้ที่ควรค่าในการพูดถึง ทำออกมาได้สนุกสนานและอบอุ่นหัวใจ เรียนรู้ความหมายของคำว่าครอบครัว มิตรภาพ ความรัก และการให้อภัย ที่ล้วนเป็นสิ่งที่มีค่าและควรรักษาไว้ และนำไปพัฒนาชีวิตหรือแม้แต่ซีรีส์เรื่องต่อๆ ไปได้อีกเช่นกัน

ขอบคุณรูปภาพจาก https://lofficielthailand.com/

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *