Skip to content

[รีวิว] Moving : มูฟวิ่ง ซุปส์เกาหลีที่ดูแล้วคุ้มค่ารายปีดีสนี่ย์ไปเลย (2023)

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

Moving (2023) ที่ออกฉายบน Disney+ จำได้ว่าช่วงกลางๆ เดือนสิงหามีคนพูดถึงกันมาก ก็เลยพยายามหลบสปอยล์เพื่อรอให้ตอนสุดท้ายออกก่อนค่อยดู และเมื่อวันที่ 20 ก.ย. สามตอนสุดท้ายก็ปิดจบเรียบร้อย ไม่รีรอรีบดูเลย และพบว่าเนื้อเรื่องมีความสนุกน่าติดตาม ระยะเวลาต่อตอนก็ไม่มากประมาณ 40 นาที ทำให้ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็ดูจบ 20 ตอนได้แล้ว

โครงเรื่องไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ แม้ว่าจะสร้างมาจากการ์ตูนบนเว็บ (webcomic) จากชื่อเรื่องเดียวกันตั้งแต่ปี 2015 ก็ตาม แต่ก็แอบมีความพัฒนาจากหนังซุปเปอร์ฮีโร่จากหลายๆ เรื่องของฝั่งตะวันตก ส่วนตัวคิดว่าใกล้เคียงกับซีรี่ส์ The Boys ของ Prime Video ในปี 2019 ที่พัฒนามาจากหนังสือการ์ตูนในชื่อเดียวกันตั้งแต่ปี 2006 แต่ของเกาหลีนั้นมีความละมุนและซาบซึ้งมากกว่าตามสไตล์เกาหลี และคิดว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยด้วยสำหรับบทของซีรี่ส์ ความลุ่มลึกของตัวละคร และการเชื่อมโยงที่นำไปสู่ Finale ของเรื่อง

การดำเนินเรื่องของซีรี่ส์นี้ เน้นให้เรามาลุ้นระทึกและคอยเอาใจช่วยตัวละครหลัก ที่หลบหนีและปิดบังความยอดมนุษย์ในตัวลูกชายที่ชื่อ “คิมบงซอก” กับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว “อีมีฮยอล” ที่เหมือนว่าตั้งแต่บงซอกเล็กๆ สองแม่ลูกคู่นี้ต้องคอยย้ายถิ่นฐานเพื่อหลบซ่อนความไม่ปลอดภัยที่กำลังตามล่าแม้จะใช้ชีวิตธรรมดาสามัญชนก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามชื่อเรื่อง Moving นั่นแหละครับ

แต่เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบนั้น การย้ายถิ่นหลบหนีนั้นไม่ได้ให้น้ำหนักตรงนี้มากเท่าไหร่ แต่เน้นไปที่ความรู้สึกของตัวละครหลักในเรื่องมากกว่า ที่ต้องการหลบหนีความเป็น “เหนือมนุษย์” เท่านั้น โดยในเนื้อเรื่องจะเติมเหตุและผลออกมาเรื่อยๆ ว่าทำไมและเพราะอะไรในส่วนนี้ยอมรับว่าทีมเขียนบทปิดช่องเก็บงานได้หมดจดจริงๆ นั่นเป็นข้อดีของการปูเนื้อเรื่องที่มาของตัวละครหลายๆ ตัว ทำให้มีความลุ่มลึกถึงมิติของความคิดความเป็นมาของตัวละครได้ดี ที่เรื่องเปิดมาเหมือนหนังของเด็กรุ่นลูก แต่การเล่าแบบย้อนอดีตอยู่บ่อยๆ ไม่เป็นเส้นตรง ทำให้เราจะเข้าสู่เรื่องของรุ่นพ่อและแม่แบบเข้มข้นแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

ช่วง EP 1 – 2 อาจจะเหนือยๆ การปูเรื่องไปบ้าง แต่พอถึง EP5 เท่านั้นแหละครับระดับความมันส์จะเพิ่มขึ้นจนหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว

สรุปเนื้อเรื่อง Moving อย่างง่ายๆ

มาถึงตรงนี้แล้วอาจจะพบสปอยล์ และอาจมีส่วนเข้าใจผิดไปบ้างเพราะเขียนจากความทรงจำมาเป็นส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้รีเสิร์ชมาวิเคราะห์แบบลงลึกเท่าไหร่นะครับ จะพยายามสรุปเป็นเนื้อเรื่องแบบเส้นตรงๆ ดูแทนด้วยนะครับ

ในสมัยอดีตจะมีกลุ่มมนุษย์ที่มีพลังเหนือธรรมชาติแตกต่างกันไป เช่น บินได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว, มีพลังการในรักษาอาการบาดเจ็บได้, การมีพลังที่แข็งแกร่งและทรงพลัง, มีหูทิพย์ตาทิพย์มองทะลุได้, เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ามาเป็นอาวุธได้ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะถูกหน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีใต้นำมาใช้งานเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งตัวละครหลักอย่าง “คิมดูชิก”, “จางจูวอน” และ “อีมีฮยอล” เป็นสมาชิกระดับท็อปขององค์กร (ทีมแบล็ก) ที่มี รองผอ. มิน เป็นคนกำกับและดูแล และประเทศที่โดนเล่นงานจากหน่วยงานนี้สุดคงไม่พ้นประเทศที่พูดภาษาเดียวกันแต่ระบบการปกครองนั้นต่างกันอย่าง “เกาหลีเหนือ”

เมื่อการทำงานรับใช้องค์กรไปเรื่อยๆ ก็กลับยิ่งพบความมืดหม่นและดำมืดของคนควบคุมองค์กร นั่นเลยทำให้สองสมาชิกอย่างดูชิกและมีฮยอลจะหันหลังให้องค์กรโดยเล่นละครตบตาและแอบหนีไปใช้ชีวิตเรียบง่ายมีครอบครัวเหมือนคนธรรมดาๆ ทั่วไปจนมีสมาชิกเพิ่มคือ “บงซอก” นั่นเอง และทั้งคู่ก็พบว่าพลังพิเศษของทั้งคู่นั้นสามารถส่งต่อไปยังลูกชายเค้าอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ทั้งคู่ไม่สบายใจเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก

และการหันหลังและทำภารกิจให้องค์กรล้มเหลวได้ไม่นาน หน่วยงานข่าวกรองและ รองผอ. มิน ถูกลดบทบาทลง นั่นเลยทำให้คนในหน่วยงานที่มีพลังพิเศษกระจัดกระจายกันออกไป รวมถึงคู่หูของดูชิกอย่างจูวอนเช่นกัน นอกจากพละกำลังแล้ว การใช้ชีวิตปกติเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาค่อนข้างสร้างปัญหาให้เค้าจนหลงทางเช่นกัน จนกระทั่งมีภรรยาเข้ามาช่วยดูแลกันและกันจนมีทายาทลูกสาวแสนสวยและแสนดีอย่าง “จางฮีซู” แต่ตอนฮีซูอายุ 4 ขวบก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำจนเสียแม่ไป ทำให้จูวอนกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวไปโดยปริยาย

แต่หลังจาก รอง ผอ.มิน ตกต่ำได้ไม่นาน เค้าก็กอบกู้หน่วยงานขึ้นมาใหม่ รวมถึงชักชวนจูวอนกลับมาเข้าทีมด้วย เพื่อป้องกันการรุกรานสายลับจากเกาหลีเหนือและเรื่องความมั่นคงอื่นๆ ที่เกินความสามารถของตำรวจและทหาร นั่นเลยทำให้เค้าพบกับ “คนโง่” ที่ทรงพลังและซื่อบื้อยิ่งกว่าตัวของจูวอนเสียอีกคือ “อีมันแจ” และซุปเปอร์ฮีโร่ในเรื่องมักจะมีจุดอ่อนอยู่ทุกคน รวมถึง “มันแจ” ที่มีแต่พละกำลังแต่ขาดความยั้งคิด ที่เพียงต้องการปกป้องเมียและลูก ทำให้ตัวเค้าถล่มกองกำลังตำรวจจนเอาไม่อยู่ ต้องมาถึงมือจูวอน และรอง ผอ.มินเองต้องการทีมงานเพิ่มเติมจึงแอบหมายตามันแจไว้ด้วยอีกคน (เนื่องจากเพิ่งดู Reply 1994 มา เห็นว่าคิมซองกยุนใส่เสื้อเชียร์บอลทีมชาติ “be the Reds” เหมือนกันเลย 🤣)

แต่แล้วด้วยนิสัยของรอง ผอ. มิน ที่เน้นใช้ประโยชน์เฉพาะคนที่มีประโยชน์เท่านั้น ที่รู้ว่ามันแจนั้นสมองทึบเกินไปจึงไม่สนใจเดินหนีได้เพียงแป๊ปเดียว กลุ่มตำรวจที่ควบคุมมันแจนั้นกระเด็นออกจากห้อง เมื่อ รอง ผอ. และ จูวอนกลับไปดูก็พบว่า ลูกชายของมันแจ “อีคังฮุน” วัยเดียวกับ “ฮีซู” มีพลังเหมือนพ่อเค้า นั่นเลยทำให้รอง ผอ. กลับมาสนใจว่าพลังนั้นสามารถถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกได้ และจูวอนเองก็คิดว่าชีวิตตัวเองและลูกสาวน่าจะไม่สงบสุขจากหน่วยงานข่าวกรองเช่นกัน ทำให้เค้าหลีกหนีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้องค์กรนี้ ส่วนฝั่งของดูชิกนั้นถูกหน่วยข่าวกรองควบคุมตัวจนได้ ครั้งนี้เค้าไม่สามารถหนีไปได้เพราะต้องการปกป้องมีฮยอลและบงซอก และพ่อแม่ลูกก็ไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกเลย จุดนี้เองที่เป็นจุดกำเนิดของ Moving หรือการย้ายถิ่นฐานปิดบังตัวตนของ จางจูวอน และ อีมีฮยอล

ที่คิมดูชิกและอีมีฮยอลถูกเปิดเผยที่หลบซ่อนตัวออกมาได้นั้น ก็เพราะว่า “โจ แร ฮยอก” ผู้มีความสามารถพิเศษในการสะกดรอยดมกลิ่นและสายตาดีนั่นเอง ซึ่งโจแรฮยอกนี่เองเป็นคนช่วยรองผอ.มินวางแผนในการกระตุ้นให้เหล่าลูกๆ ยอดมนุษย์นั้นเผยพลังออกมา โดยอีกงานที่รับทำก็คือวางแผนจัดฉากให้เกิดอุบัติเหตุแม่ของฮีซู รวมถึงเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนจองวอน รวบรวมและบงการให้เด็กๆ ที่มีพลังมาร่วมเรียนโรงเรียนแห่งนี้หลายรุ่นด้วยกัน โดยมีอดีตทหาร “ชเว อิล ฮวาน” ที่มีความตั้งใจช่วยเหลือประเทศชาติมาเป็นครูประจำชั้น และในเหล่าบรรดาลูกศิษย์หนึ่งในนั้นก็ลูกของมนุษย์ไฟฟ้าที่ชื่อว่า “จอน กเย โด” หรือลุงขับรถเมล์นั่นแหละครับ ซึ่งก่อนจะมาขับรถเมล์นั้นเค้าเป็นนักแสดงยอดมนุษย์สุดดังรุ่นที่ 2 อย่าง พอนแกแมน (มนุษย์สายฟ้า) ซึ่งเป็นขวัญใจของบงซอกตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อตกงานจากงานแสดงบงซอกก็ยังจำเค้าได้ด้วยการทักทายทุกครั้งก่อนขึ้นรถ แต่ก็ปิดบังไว้ไม่ให้จอนเยโดรู้ตัวว่าจำได้

การบงการของหน่วยข่าวกรองนี่เอง ที่จัดฉากเรื่องโรงเรียนบีบบังคับทางเดินให้ลูกๆ สามคนคือ บงซอก, ฮีซู และ หัวหน้าห้อง คังฮุน ให้มาเรียนมัธยมปลายที่นี่ด้วยกัน โดยเฉพาะเคสของฮีซูนั้นที่โดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะการป้องกันการถูกบลูลี่ของ “ชินฮเยวอน” จากเพื่อนนิสัยไม่ดีร่วมชั้นนั้น นำไปสู่เหตุการณ์ต่อสู้ของฮีซูและนักเรียนหญิงชาย 17 คน หลังจากฮีซูชนะการต่อสู้และไม่ได้รับบาดแผลใดๆ ทำให้ถูกไล่ออกจากโรงเรียน และก็ไม่มีโรงเรียนไหนรับนอกจากโรงเรียนมัธยมจองวอนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วฮเยวอนเพื่อนเพื่อนโรงเรียนเก่าของฮีซูเป็นคนบงการเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นเพราะเธอเป็นหนึ่งในคนที่มีความสามารถพิเศษคือคงความเด็กไว้ได้ตลอดแม้ว่าจะอายุอาวุโสที่สุดของหน่วยงานและคาดว่าเธอเป็นคนระดับ ผอ. ทำงานร่วมกันกับลุง รปภ.ของโรงเรียน (จุดนี้ทางซีรี่ส์ไม่ได้เฉลยนะครับ ปรับปรุงจากการ์ตูนเล็กน้อย)

และเมื่อการปรากฏตัวของ “แฟรงค์” ที่คอยตามไล่เก็บปิดปากการมีอยู่ของเหล่าคนที่พลังพิเศษที่กระจัดกระจายไปทั่วตามคำสั่งของ CIA นั้น จำไม่ได้เหตุผลอะไรว่าทำไมต้องตามเก็บ แต่แฟรงค์นั้นเป็นคนที่มีความสามารถที่น่าเกรงขาม เก็บอดีตทีมแบล็กไปได้หลายคน จนทำให้พ่อของฮีซูและแม่ของบงซอกเริ่มไม่สบายใจความปลอดภัยของลูกๆ อีกครั้ง แต่จริงๆ แล้วเบื้องลึกของแฟรงค์ก็เป็นคนที่จิตใจดี ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น นั่นจึงทำให้กเยโดไม่ถูกแฟรงค์จัดการแต่อย่างใดเพราะคำสั่งมาให้ฆ่าพ่อของกเยโดเท่านั้น แต่แล้วแฟรงค์เองก็พลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับจางจูวอนเช่นกัน

แต่เนื้อเรื่องไม่หยุดอยู่แค่นั้น การลักลอบเข้ามาจารกรรมข้อมูลของเกาหลีเหนือก็มีเข้ามาเพิ่มเติม คนฝั่งใต้มีซุปส์ได้คนฝั่งเหนือก็มีได้เช่นกัน นั่นเลยเกิดวินาศสันตะโรที่โรงเรียนใน Finale ของเรื่องแหละครับ และแน่นอนว่าเรื่องนี้จบแบบ Happy Ending พอนแกแมนเป็นฮีโร่ของบงซอกทั้งในทีวีและชีวิตจริง ทุกคนรอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ คิมดูชิกได้กลับมาหาครอบครัว หลังถูกควบคุมไว้ที่เกาหลีเหนือนานนับสิบปี การที่จบแบบแฮปปี้อย่างนี้เข้าใจได้ว่าคนเขียนบทรักษาความสัมพันธ์ของเกาหลีเหนือ-ใต้ผ่านสื่อบันเทิงอันนี้ ไม่ได้วางฝั่งเหนือเป็นตัวร้ายแบบสุดขั้วอย่างนั้น กลับกันแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของจิตใจของคนฝั่งเหนือที่รักครอบครัวไม่แพ้คนฝั่งใต้เช่นกัน การที่มาทะเลาะกันนั้นก็เพียงเพราะว่าองค์กรที่ควบคุมความมั่นคงของประเทศทำให้มันเกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น ซึ่งคนที่บงการฝั่งเหนือและฝั่งใต้อย่างรองผอ.มิน ก็โดนคนของฝั่งตัวเองปิดฉากจบเรื่องให้เรียบร้อย

สรุปส่งท้าย

แนะนำให้ดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้ครับ ส่วนตัวไม่ค่อยชอบหนังซุปส์เท่าไหร่ โดยเฉพาะของฝั่งมาร์เวล ไม่ใช่เพราะหนังเค้าไม่ดีหรอกนะครับ เพียงแค่ว่าเราดูแล้วเหมือนดูหนังหลอกเด็กแบบพอนแกแมนล่ะ ซึ่งส่วนตัวเกินวัยนั้นไปไกลแล้ว แต่กลับกันเรื่องนี้ทำออกมาได้ครบรสชาติในแบบฉบับซีรี่ส์เกาหลี ดูแล้วไม่เสียเวลาประมาณ 13 ชั่วโมงที่ต้องเสียไปแน่นอนครับ

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *