Skip to content

[รีวิว] Oppenheimer : ออพเพนไฮเมอร์ (2023)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

Oppenheimer : ออพเพนไฮเมอร์ เป็นภาพยนตร์ดราม่าและหนังชีวประวัติที่เขียนและกำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) โดยสร้างจากหนังสือชีวประวัติจากปี 2005 เรื่อง American Prometheus ของ Kai Bird และ Martin J. Sherwin นำแสดงโดย Cillian Murphy ในบท J. Robert Oppenheimer นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันที่เป็นหัวหน้าทีมในการพัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเล่าถึงชีวิตส่วนตัวในการต่อสู้ในอาชีพของเขา ประเด็นเรื่องขัดแย้งทางศีลธรรม และความตกต่ำของเขาในยุคสงครามเย็น และยังมี Emily Blunt รับบทเป็น ‘Kitty’ ภรรยาของออพเพนไฮเมอร์, Matt Damon รับบทเป็นนายพล ‘Leslie Groves’ ผู้อำนวยการโครงการแมนฮัตตัน(Manhattan Project), Robert Downey Jr. รับบทเป็น ‘Lewis Strauss’ สมาชิกอาวุโสของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูที่ต่อต้านการการรับรองด้านความมั่นคงกับออพเนไฮเมอร์ และกลุ่มนักแสดงสมทบ ได้แก่ Florence Pugh, Josh Hartnett, Casey Affleck, Rami Malek และ Kenneth Branagh

Oppenheimer เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของโนแลนที่จัดจำหน่ายโดย Universal Pictures หลังจากร่วมงานกันมานานกับ Warner Bros. ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำด้วยการผสมผสานระหว่างฟิล์ม IMAX 65 มม. และฟิล์มขนาดใหญ่ 65 มม.(large-format) รวมถึงการถ่ายภาพด้วยฟิล์มขาวดำ IMAX ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โนแลนใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์(VFX)ที่ใช้งานได้จริงและภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์น้อยที่สุด เนื่องจากเขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความสมจริงและความถูกต้อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังนำเสนอเพลงประกอบโดยลุดวิก โกแรนส์สัน(Ludwig Göransson) ซึ่งเข้ามาแทนที่ฮันส์ ซิมเมอร์(Hans Zimmer)ที่ยุ่งอยู่กับการทำงานในเรื่อง Dune (2021) ของ Denis Villeneuve

แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่หนังแอคชั่นทั่วไปแต่เป็นหนังชีวประวัติและส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวการใต่สวนนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะขาดความตื่นเต้นหรือลุ้นระทึก ภาพยนตร์นำเสนอช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกในช่วงนั้น เช่น การทดสอบ Trinity การทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ และลัทธิล่าแม่มดในสหรัฐอเมริกายุคสงครามเย็นอย่างพิจารณาคดีของ สว.Joseph McCarthy และยังเจาะลึกถึงความขัดแย้งทางจิตวิทยาและจริยธรรมที่ออพเพนไฮเมอร์และเพื่อนร่วมงานของเขาต้องเผชิญในช่วงนั้นหลังจากคิดค้นระเบิดเพื่อยุติสงครามและกลับต้องมาเจอคนในชาติสงสัยความเป็นคอมมิวนิสต์ในตัวเขา หนังจะใช้ความตื่นเต้นด้วยการเล่าเรื่องสลับไปมาแล้วค่อยๆ หวดเข้าสู้ความตื่นเต้นทางการสนทนาเพียงเท่านั้น หากคาดหวังหนังแอคชั่นจากงานเก่าๆ ของโนแลนอาจรู้สึกผิดหวังและน่าเบื่อไปบ้าง แต่ก็อาจมีบ้างที่รู้สึกประหลาดใจที่ก็ยังรู้สึกสนุกในบทสนทนาและประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เช่นกัน

สรุปส่งท้าย Oppenheimer แตกต่างจากผลงานเรื่องก่อนๆ ของโนแลน ในแง่ของแนวภาพยนตร์ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ดราม่าอิงประวัติศาสตร์มากกว่าภาพยนตร์ไซไฟหรือแอ็คชั่น อย่างไรก็ตาม มันยังคงรักษาองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างของโนแลนไว้ เช่น การเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับ (Nonlinear Narrative) ธีมของภาพยนตร์ที่ซับซ้อน ความคลุมเครือทางศีลธรรม และการสะท้อนทางอารมณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเห็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ของโนแลน เช่น เวลา ความทรงจำ ตัวตน และความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์และในตัวเจ โรเบิร์ท ออพเพนไฮเมอร์ และนับว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีความทะเยอทะยานและเติบโตมากที่สุดเรื่องหนึ่งของโนแลน

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *