Skip to content

[รีวิว] The Point Men : ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก (2023)

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

The Point Men ชื่อไทย ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก เช่นเคย เมื่อติดอยู่ในอันดับ 1 ในหมวดของภาพยนตร์ใน NETFLIX ก็ต้องลองเปิดดูว่า เหตุใดถึงขึ้นอันดับหนึ่ง

หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตในปี 2007 เมื่อกรุ๊ปทัวร์มิชชั่นนารีชาวเกาหลีใต้จำนวน 23 คน ลอบผ่านเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามในอัฟกานิสถาน จนเป็นเหตุให้โดนนักรบเผ่าตาลีบันจับตัวเพื่อเป็นข้อต่อรองปล่อยตัว 23 นักรบตาลีบันที่อยู่ในคุก และสุดท้ายตัวประกันชาวเกาหลีโดนสังหารไป 2 คน แต่สุดท้ายแล้วการเจรจาต่อรองก็ทำให้ 20 ตัวประกันที่เหลือนั้นกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย

ส่วนในภาพยนตร์นั้นเนื้อเรื่องจะใช้เรื่องตัวประกันเป็นเบื้องหลังในการขับเคลื่อนเรื่องให้ดำเนินไป จะไปเน้นที่สองตัวละครหลักอย่าง จองแจโฮ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่เน้นในความสามารถในการเจรจาต่อรองเปรียบเสมือน “สายบุ๋น”  และ พัคแดชิก เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่แฝงตัวหาข่าวในพื้นที่อย่างอัฟกานิสถาน, อิรัค ฯลฯ ที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นสาย “สายบู๊” การเปิดตัวตามสไตล์หนังทั่วๆ ไป ที่สองคนนี้จะขัดกันไปทุกเรื่อง แม้ว่าจะมีภารกิจเดียวกันก็ตาม

ในด้านการเจรจาต่อรองนั้น ตัวละครดูค่อนข้างแบนราบ ไม่ได้ปูพื้นหรือแสดงพัฒนาการที่ให้เห็นถึงความสามารถในการต่อรองเท่าไหร่ แม้ว่าในหนังพยายามจะยัดมาให้ก็ตาม แต่ดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเก่งกาจในการต่อรองเท่าไหร่ (หากอยากดูภาพยนตร์ที่แสดงสกิลการต่อรอง แนะนำเรื่อง The Negotiator (1998) กับบทบาทของ Kevin Spacey ในตัวละคร Chris Sabian)

ส่วนพัคแดชิกนั้น ก็แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งจนเกินงามในความระห่ำ นำเสนอออกมาได้เคอะเขิลดีในการเปิดตัวกับจองแจโฮ ที่ต้องฝ่าแนวรักษาความปลอดภัยตรงสนามบิน…เราดูแล้วก็รู้สึก.. เพื่อ????

ส่วนเนื้อเรื่องนั้นเริ่มต้นที่เหมือนจะดี พอไปกลางๆ เรื่องก็เหมือนจังหวะความสนุกเริ่มลดลง หนังยังคงพยายามยัดคาแรคเตอร์ตัวตลกเข้ามาอีกอย่างล่าม ‘อีบงฮัน’ หรือ ‘คาซิม’ ที่เอาคนเกาหลีที่แปลงเป็นคนอาหรับ ดูแล้วขัดใจเป็นอย่างมาก ที่รู้สึกว่าให้ความสำคัญไปจนทำให้เวลาในหนังยาวขึ้นไปอีก

แต่งานโปรดักชั่นหนังเกาหลีเรื่องนี้ นับว่าทำออกมาได้ดี เป็นงานภาพตะวันออกกลางอย่างที่ฮอลลีวูดชอบนำเสนอ ภาพออกมาเนียนตา แม้ว่าจะถ่ายทำกันที่ประเทศจอร์แดน แต่นั่นก็เหมือนภาพที่เห็นในอัฟกานิสถานดั่งที่เห็นในภาพยนตร์จากฮอลลีวูด ถือว่าทำออกมาได้ดี ฉากไล่ล่าก็ตื่นเต้นพอประมาณ ไม่ได้สร้างซีนให้เป็นตำนานหรือน่าจดจำ

สรุปสุดท้ายแล้ว หากหวังเรื่องแอคชั่น ระเบิดภูเขา เผาทะเลทรายล่ะก็ อาจจะผิดหวังนิดหน่อย ส่วนจะไปเน้นเรื่องการเจรจาต่อรองแบบลุ้นระทึกนั้นก็ยังไม่สามารถทำออกมาให้ถึงอารมณ์เท่าไหร่ เป็นหนังที่ดูแล้วความสนุกอยู่ที่กลางๆ ดูได้ แต่ไม่ได้ลุ้นให้เอาใจช่วยเท่าไหร่ เพราะเนื้อเรื่องเน้นอารมณ์ตัวประกันที่น้อยเกินไปมากๆ ไปจดจ่ออยู่ที่สองพระเอกเท่านั้นเอง

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *