Skip to content

[รีวิว] Left-Handed Girl : เด็กมือซ้าย (2025) | โลกที่บังคับให้ใช้มือขวาด้วยสายตาแบบ The Florida Project ที่โตขึ้น

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

ถ้าจะมีภาพยนตร์สักเรื่องในปี 2025 ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางตลาดกลางคืนไทเป เหงื่อชื้น เสียงคนขายตะโกนปนกับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ และมองโลกผ่านสายตาของเด็กที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมโลกถึงชอบ “แก้ไข” ตัวเธออยู่ตลอดเวลา Left-Handed Girl คือหนังเรื่องนั้น

และถ้าคุณคือคนที่ยังจำความรู้สึกตอนดู The Florida Project ได้—ความรู้สึกที่หัวใจถูกบีบอย่างแผ่วเบา ไม่ใช่ด้วยโศกนาฏกรรมใหญ่โต แต่ด้วยชีวิตประจำวันที่ “เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”—หนังของ Shih-Ching Tsou เรื่องนี้จะเข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันอย่างเงียบงัน ทว่าไม่ใช่ในฐานะสำเนา หากเป็นญาติร่วมสายเลือดที่เติบโตในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง

หนังเล่าเรื่องของ “อี้จิง” เด็กหญิงถนัดซ้ายที่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่และยายในไทเป ครอบครัวฐานะไม่มั่นคง ทำมาหากินอยู่กับแผงอาหารในตลาดกลางคืน ความเป็น “ถนัดซ้าย” ของอี้จิง ไม่ได้เป็นเพียงลักษณะทางกายภาพ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่นอกกรอบ—สิ่งที่สังคมไม่เคยเกลียดชังอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่เคยยอมรับอย่างแท้จริง

ในวัฒนธรรมจีน ความถนัดซ้ายเคยถูกมองว่าเป็นลางร้าย เป็น “มือปีศาจ” และหนังไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ด้วยบทสนทนาเชิงทฤษฎี หากปล่อยให้มันซึมอยู่ในท่าทางเล็ก ๆ การบังคับให้จับช้อนใหม่ การตบมือเบา ๆ เพื่อ “แก้” พฤติกรรม และสายตาที่มองเด็กคนหนึ่งราวกับเธอเป็นงานที่ยังทำไม่เสร็จ

นี่คือจุดที่ Left-Handed Girl ใกล้เคียงกับ The Florida Project อย่างน่าประหลาด ทั้งสองเรื่องมองโลกจากระดับสายตาเด็ก ไม่ใช่เพื่อทำให้โลกดูสดใสขึ้น แต่เพื่อทำให้ความโหดร้ายของผู้ใหญ่ดู “ธรรมดา” อย่างน่ากลัว เพราะสำหรับเด็กแล้ว สิ่งเหล่านี้คือชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องตั้งคำถาม

กล้องของหนังมักอยู่ต่ำ ใกล้พื้น ใกล้ตัวละคร เสมือนกำลังเดินตามอี้จิงไปในตลาดกลางคืน ไต้หวันในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ภาพท่องเที่ยว ไม่ใช่เมืองแห่งเทคโนโลยีหรือความทันสมัย แต่คือพื้นที่ทำมาหากิน พื้นที่ต่อรอง และพื้นที่ที่ผู้หญิงสามรุ่น—ยาย แม่ และลูก—ต้องดิ้นรนอยู่ในโครงสร้างเดียวกันอย่างไม่มีทางเลือก

ความน่าสนใจของ Left-Handed Girl คือมันไม่พยายามสร้างดราม่าใหญ่ ไม่มีเหตุการณ์พลิกผันที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คนดูร้องไห้ แต่เลือกเล่าเรื่องด้วยจังหวะชีวิตที่คล้ายการหายใจ บางวันอึดอัด บางวันโล่งขึ้นเล็กน้อย แล้วทุกอย่างก็วนกลับไปเหมือนเดิม

แม่ของอี้จิงไม่ใช่ตัวร้าย เธอเป็นเพียงคนที่ต้องอยู่รอด ยายก็ไม่ใช่ผู้กดขี่โดยเจตนา แต่เป็นผลผลิตของความเชื่อที่สืบทอดกันมา หนังไม่ตัดสินใคร และนี่เองที่ทำให้มันเจ็บ—เพราะเมื่อไม่มีตัวร้าย เราก็ไม่รู้จะโกรธใคร นอกจากระบบที่ไม่มีหน้า ไม่มีชื่อ และไม่มีใครรับผิดชอบ

อิทธิพลของ Sean Baker ปรากฏอยู่ทั่วทั้งเรื่อง แต่ไม่ใช่ในแบบการลอกเลียน กลิ่นอายแบบ Tangerine และ The Florida Project อยู่ในความเป็นเรียลลิสติก การใช้สถานที่จริง นักแสดงที่เหมือนคนธรรมดามากกว่านักแสดง และการตัดต่อที่ปล่อยให้ความเงียบทำงานพอ ๆ กับบทสนทนา Baker ไม่ได้เข้ามาคุมหนังเรื่องนี้ แต่เหมือนเข้ามา “ฟัง” และช่วยจัดระเบียบเสียงเหล่านั้นให้กลายเป็นภาพยนตร์

ตลาดกลางคืนไทเปในหนังเรื่องนี้ทำหน้าที่คล้ายโรงแรมม่วงใน The Florida Project มันคือพื้นที่ชั่วคราวของชีวิต พื้นที่ที่คนอยู่ได้ แต่ไม่มีใครอยากอยู่ตลอดไป เสียงหัวเราะ เสียงทะเลาะ กลิ่นอาหาร และความเหนื่อยล้าปะปนกันจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือสุข อะไรคือทุกข์

ฉากหนึ่งที่น่าจดจำคือช่วงที่อี้จิงพยายามใช้มือซ้ายทำสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน และถูกแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนังไม่ได้เน้นอารมณ์ แต่ปล่อยให้ความซ้ำซากทำงานแทน นี่คือการกดทับที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรง และเป็นความรุนแรงที่สังคมมักมองไม่เห็น

Left-Handed Girl ไม่ใช่หนังที่ทำให้คุณ “รู้สึกดี” แบบปลอดภัย แต่มันทำให้คุณรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ได้ออกแบบมาอย่างยุติธรรมตั้งแต่แรก และเด็กบางคนต้องเรียนรู้เรื่องนั้นเร็วเกินไป

เมื่อหนังจบลง มันไม่ได้ทิ้งคำตอบ ไม่ได้เสนอทางออก แต่ทิ้งภาพของเด็กถนัดซ้ายคนหนึ่งที่ยังคงใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่พยายามเปลี่ยนเธออยู่ตลอดเวลา และนั่นอาจเป็นความซื่อสัตย์ที่สุดของหนังเรื่องนี้—ความจริงที่ไม่สวยงาม แต่ก็ไม่โกหก

ถ้า The Florida Project คือภาพยนตร์ว่าด้วยวัยเด็กที่เบ่งบานท่ามกลางซากปรักหักพังของระบบทุนนิยมอเมริกัน Left-Handed Girl ก็คือบทกวีเงียบ ๆ ว่าด้วยการเติบโตในสังคมเอเชียที่อ่อนโยนภายนอก แต่แข็งกระด้างภายใน และบางที การได้มองโลกผ่านมือซ้าย อาจทำให้เราเห็นสิ่งที่มือขวาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยก็ได้

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole