Skip to content

[รีวิว] Frankenstein : แฟรงเกนสไตน์ (2025) | ความงามของบาปแห่งการสร้างชีวิต — บทกวีแห่งความหลงตนโดย Guillermo del Toro

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

นวนิยาย Frankenstein; or, The Modern Prometheus ของ Mary Shelley ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1818 คือหนึ่งในต้นกำเนิดของวรรณกรรมไซไฟเชิงปรัชญาที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น มันคือการประกาศเตือนถึงผลลัพธ์ของความเย่อหยิ่งทางวิทยาศาสตร์และความหมกมุ่นในพลังของ “พระเจ้า” ที่จะมอบชีวิตให้กับสิ่งไม่มีชีวิต เรื่องราวของ Victor Frankenstein — นักวิทยาศาสตร์ผู้ท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ด้วยการประกอบร่างศพขึ้นมาให้มีชีวิต — และ “สิ่งสร้าง” ที่เกิดขึ้นมาพร้อมความไร้เดียงสาและความโดดเดี่ยว กลายเป็นภาพสะท้อนของบาปแห่งการสร้างที่ย้อนกลับมากัดกินผู้สร้างเอง Shelley เขียนด้วยน้ำเสียงของกวีโรแมนติกที่โศกซึ้ง เธอไม่ได้มอง “สัตว์ประหลาด” ว่าเป็นปีศาจ แต่เป็นเงาสะท้อนของมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้งจากความรักและความเมตตา

กว่าศตวรรษที่ผ่านมา Frankenstein ถูกดัดแปลงนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในรูปแบบภาพยนตร์ การ์ตูน ละครเวที และแม้แต่สัญลักษณ์ในวัฒนธรรมป๊อป ไม่ว่าจะเป็น Frankenstein (1931) ของ James Whale ที่ยกระดับ “สิ่งสร้าง” ให้กลายเป็นภาพจำของปีศาจในชุดสูทดำคอแปะโลหะ หรือ Mary Shelley’s Frankenstein (1994) ของ Kenneth Branagh ที่พยายามกลับสู่รากทางอารมณ์ของต้นฉบับ แต่ไม่มีเวอร์ชันใดจะเหมือนของ Guillermo del Toro ในปี 2025 ที่กล้าหาญพอจะวางเรื่องราวนี้ไว้ในกรอบของ “โศกนาฏกรรมแห่งความงาม” มากกว่าภาพยนตร์สยองขวัญแบบดั้งเดิม เขาไม่ได้เพียงเล่าเรื่องการสร้างชีวิต แต่สร้าง “บทกวีแห่งการทำลาย” ขึ้นมาใหม่ในภาษาภาพยนตร์ของตนเอง

ในมือของ Guillermo del Toro ผู้ซึ่งเคยพาเราดำดิ่งสู่ความงามของปีศาจใน Pan’s Labyrinth และ The Shape of Water เรื่องราวของ Frankenstein ถูกชำระให้กลายเป็นนิยายภาพของความหมกมุ่นและการแสวงหาความรักในโลกที่ไร้พระเจ้า เขาเลือกถ่ายทอด “สัตว์ประหลาด” (รับบทโดย Jacob Elordi) ไม่ใช่ในฐานะสิ่งน่ากลัว แต่เป็นดวงวิญญาณที่กำลังเรียนรู้ความเจ็บปวดของการมีอยู่ ในขณะที่ Oscar Isaac สวมบท Victor Frankenstein อย่างทรงพลัง เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่งแบบคลาสสิก แต่เป็นบุรุษผู้ติดอยู่ในวังวนแห่งอัตตา — ศิลปินที่หลงใหลในความงามของการสร้างมากกว่าความเมตตาต่อสิ่งที่ถูกสร้าง

สิ่งแรกที่ผู้ชมสัมผัสได้จากภาพยนตร์คือความงดงามในความโหดร้าย งานภาพของ Dan Laustsen ส่องประกายด้วยเฉดสีทองและแดงราวเลือดผสมแสงเทียน แสงทุกดวงในเรื่องเหมือนถูกออกแบบให้เต้นรำกับเงา สะท้อนความสับสนระหว่างชีวิตและความตาย บรรยากาศแบบโกธิกในปราสาทของ Victor คือโลกที่เหมือนโบสถ์ของบาป วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสนา เครื่องมือกลายเป็นแท่นบูชา และสิ่งมีชีวิตใหม่คือ “พระเจ้าในรูปแบบที่วิปริตที่สุด” เสียงดนตรีของ Alexandre Desplat โอบล้อมเรื่องราวด้วยความเศร้าที่งดงาม — ราวกับเสียงอธิษฐานของผู้ที่รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ไม่อาจเข้าถึงได้

จุดเด่นที่สุดของ Frankenstein (2025) คือการที่ Guillermo del Toro เปลี่ยนเรื่องราวของการสร้างปีศาจให้กลายเป็นการ “สร้างมนุษย์” อย่างแท้จริง ฉากที่สิ่งสร้างยืนมองเงาตัวเองในกระจก หลังจากได้เรียนรู้คำว่า “รัก” และ “เกลียด” เป็นครั้งแรก คือช่วงเวลาที่หัวใจของผู้ชมแตกสลาย เพราะเรามองเห็นความเป็นมนุษย์ของเขาเหนือกว่าผู้สร้างเสียอีก เขาเป็นเหมือน Adam ที่ถูกสาปให้เกิดโดยไม่มีสวน Eden ให้กลับไปหา — ไม่มีแม้แต่ Eve ให้โอบกอด

ภาพยนตร์นี้ยังกล้าแตะต้องจิตวิทยาเชิงลึกของต้นฉบับอย่างตรงไปตรงมา หาก Shelley เขียนนิยายจากความรู้สึกสูญเสียมารดาและความกลัวความตายของตนเอง Guillermo del Toro ก็ทำให้มันเป็นเรื่องของ “พ่อผู้ทอดทิ้งลูก” เขาสร้างบทบาทของ Elizabeth (Mia Goth) ให้เป็นศูนย์กลางของความปรารถนาและการทำลาย เธอคือภาพสะท้อนของความรักที่ Victor พยายามจะยึดครองแม้ในความตาย ซึ่งต่างจากต้นฉบับที่ Elizabeth เป็นเพียงเหยื่อของโศกนาฏกรรม ในที่นี้เธอกลายเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างและสิ่งสร้าง การเลือกเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนจึงทำให้ Frankenstein (2025) กลายเป็นละครเวทีแห่งความรักที่ผิดรูป — ความรักของผู้สร้างที่ไม่เข้าใจสิ่งที่ตนรัก

หากจะมีจุดอ่อนของภาพยนตร์ ก็คือจังหวะตอนท้ายที่ดูเหมือนรีบเร่งไปสู่ความพินาศจนผู้ชมแทบไม่มีเวลาหายใจ บางบทสนทนาดูเหมือนจะพยายามสรุปปรัชญาที่ใหญ่เกินกว่าฉากนั้นจะรับไหว แต่นั่นก็เป็น “บาปที่งดงาม” ของ Guillermo del Toro — ผู้ซึ่งไม่เคยกลัวจะพูดถึงสิ่งใหญ่เกินตัวผ่านภาพที่ละเอียดอ่อนเกินใจมนุษย์ การที่บางคนรู้สึกว่าอารมณ์ตอนจบกระโดดเกินไปก็เพราะภาพยนตร์ได้พาเราเข้าไปลึกเกินกว่าจะกลับออกมาอย่างสมบูรณ์

สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการที่ Guillermo del Toro ทำให้เรื่องที่เราเคยรู้จนจำได้ขึ้นใจกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาไม่เพียงฟื้นซากวรรณกรรมเก่า แต่คืนชีพให้มันในฐานะบทกวีว่าด้วย “การสร้างและการให้อภัย” ในยุคที่มนุษย์กำลังสร้าง AI และชีวิตเทียมขึ้นมาทุกวัน Frankenstein (2025) จึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ย้อนอดีต แต่คือกระจกส่องอนาคต — เตือนเราว่าการสร้างสิ่งใดโดยปราศจากความรักย่อมกลายเป็นบาปไม่ว่าด้วยเครื่องมือแบบใดในท้ายที่สุด สิ่งที่ทำให้ Frankenstein ฉบับนี้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่ภาพหรือการแสดง แต่คือความกล้าที่จะยอมรับว่า “สัตว์ประหลาด” อยู่ในตัวเราทุกคน และในความสยองนั้นเอง Guillermo del Toro ก็ยังหาความงามได้เสมอ — ความงามของการล้มเหลว ความงามของการรักสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ และความงามของการยอมรับว่า มนุษย์คือสิ่งสร้างที่ไม่เคยเข้าใจพระเจ้าผู้สร้างตนเองเลยตั้งแต่ต้น

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole