ในโลกที่ “คนดี” ถูกใช้จนหมดอายุการใช้งาน ก่อนจะถูกเขี่ยทิ้งอย่างสิ้นค่า — นิธิวัฒน์ ธราธร กลับมาด้วยภาพยนตร์ที่เป็นเหมือน “สารคดีของความเสื่อม” ในร่างของหนังระทึกขวัญ ว่าด้วยการทรยศที่ไม่มีใครเหลือใคร จนกระทั่งเราต้องถามว่า ใครกันแน่ที่ตายไปก่อน?
ผลงาน Netflix เรื่องนี้เป็นการกลับมาของผู้กำกับที่เคยเชี่ยวชาญความอบอุ่นใน “คิดถึงวิทยา” และความขมอมหวานของ “Analog Squad ทีมรักนักหลอก” แต่คราวนี้เขาหันกล้องเข้าหาความมืด — ทั้งในภาพและในใจคน — ด้วยสเกลเล็กแต่แผลลึก หนังทั้งเรื่องคลุ้งไปด้วยความหม่นสีนัวร์ของพัทยา เมืองที่ดูเหมือนยังตื่นอยู่เสมอ แต่ข้างในกลับเน่าเปื่อยเหมือนซากสัตว์ริมทะเล
เมื่อคนดีหมดสัญญา
โต (เคน–ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) คือพนักงานธนาคารที่ดีเกินไปสำหรับโลกจริง เขาทำงานอย่างซื่อสัตย์จนกลายเป็นเครื่องจักรของระบบที่ไม่เคยซื่อสัตย์ตอบ เมื่อวันหนึ่งบริษัทเริ่มคิดที่จะ “ลอยแพ” เขาออกไปอย่างไร้เยื่อใย ด้วย A.i. และความสูงวัย หนังตั้งคำถามด้วยบทสนทนาที่คมกริบ
“เวลาใช้เราทำงาน บอกว่าเราเป็นครอบครัว แต่เวลาตัดสินอะไร พวกมึงแม่งก็แค่ลูกจ้าง สุดท้ายก็ต้องดูแลตัวเองกันต่อไป”

ประโยคนี้คือหัวใจของหนังทั้งเรื่องทำให้เกิดจุดเริ่มต้นในการ “ทุจริต” — มันคือเสียงสะท้อนของแรงงานที่ยังเชื่อว่าศีลธรรมคือเกราะกำบัง แต่ในสังคมที่เงินคือพระเจ้า เกราะนั้นกลายเป็นแค่เศษกระดาษแผ่นบางที่ฉีกขาดได้ทุกเมื่อ
โตและจ๋า (น้ำฝน–กุลนัท) พยายามดิ้นรนหาเงินเพื่อส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ หนังไม่พูดตรงๆ ว่าพวกเขากำลัง “ปีนชนชั้น” แต่ทุกเฟรมมันตะโกนคำนี้อย่างชัดเจน — เราทุกคนต่างเป็นเหยื่อของความฝันที่ระบบปลูกไว้ให้ขายตัวเองได้ง่ายขึ้น
เงินที่ไม่มีการเคลื่อนไหว (Dormant Account)
สิ่งที่นิธิวัฒน์คิดออกมาอย่างแหลมคมคือ “บัญชีที่ไม่มีการเคลื่อนไหว” — ภาพล้อของชีวิตพนักงานที่นิ่งอยู่กับที่ ทั้งที่เคยเคลื่อนไหวเพื่อคนอื่นมาทั้งชีวิต เมื่อโตพบช่องว่างในการเบิกเงินจากบัญชีคนตายไร้ญาติมิตร หนังเริ่มเดินเข้าสู่เขตแดนของ Breaking Bad ฉบับไทย — ชายที่เคยดีเริ่มมองเห็นเส้นทางรอดจากความดีนั้นเอง

แต่ตรงนี้เองที่หนังเหมือนกลัวจะลงลึกเกินไป มันไม่ปล่อยให้ “โต” พัฒนาไปถึงจุดแตกหักอย่างสมบูรณ์ ความโลภของเขามาเร็วเกินไป เหมือนคนวิ่งจากศูนย์ถึงบาปโดยไม่ทันผ่านความชอบธรรม มันจึงยังไม่บาดลึกเท่าที่ควร — ทั้งที่มีวัตถุดิบครบถ้วนจะกลายเป็น Walter White แห่งสยามประเทศ
เหยื่อของการเร่งเวลา
เส้นเรื่องรองอย่าง “เสก” (Urboy TJ) และ “ว้อดก้า” (ฮิวโก้) ถูกโยนเข้ามาในวงความโลภอย่างเร่งรัด เหมือนผู้กำกับตั้งใจให้ความบ้าคลั่งไล่ทันเวลา แต่ความเร่งนั้นกลับกลืนรายละเอียดสำคัญให้หายไป ความสัมพันธ์ระหว่าง “เพชร” (ริว วชิรวิชญ์) กับ “เสก” ดูเหมือนจะมีอดีตที่น่าสนใจ แต่หนังกลับเล่าเพียงปลายเหตุ — เสียดายที่แรงขับและจังหวะการคุกคามของตัวละครเหล่านี้ถูกลดทอนลงจนกลายเป็นแค่ฉาก “ล่าทรัพย์” ที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้มากนัก

ส่วนเส้นของ “ว้อดก้า” (ฮิวโก้) ก็พลิกจาก “กำนันหมู” ได้ง่ายไปหน่อย สกิลดั่งเทพแห่งอัคคีแม้จะเว่อร์เกินจริงบ้าง แต่ก็ยังพอหลับตาข้างหนึ่งให้อภัยได้ ทว่าการหักหลังเพียงเพื่อพาไปสู่จุดจบดูเหมือนจะไร้น้ำหนัก และยิ่งน่าเสียดายเมื่อหนังเลือกจะเล่าข้ามเรื่อง “แม่กุ้ง” แม่เลี้ยงของ “เข็ม” (เอินเอิน–ฟาติมา) ไปอย่างไม่มีคำตอบ — ปล่อยให้ตัวละคร “เข็ม” ดูชิลกับความสูญเสียนั้นเกินไปจนหลุดออกจากความจริงของโลกที่หนังสร้างไว้
แววดีในเงามืด
แต่ถึงแม้บทจะมีรอยรั่ว ลักกันวันตาย – Everybody Loves Me When I’m Dead ก็ยังมีสิ่งที่น่าทึ่งในด้านการแสดงและบรรยากาศ ภาพนัวร์ที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งเรื่องช่วยสร้างแรงกดทับทางอารมณ์ จนผู้ชมรู้สึกเหมือนหายใจในห้องที่ไม่มีอากาศ เคน–ธีรเดช ถ่ายทอดความพ่ายแพ้ของคนวัยกลางคนได้อย่างมีศักดิ์ศรี และ ริว–วชิรวิชญ์ ก็ทำให้บท “เพชร” ดูเป็นคนจริง ไม่ใช่ตัวละครในบทหนังสำเร็จรูป การปะทะกันระหว่างคนสองวัยนี้เป็นเหมือนกระจกสะท้อนว่า ความดีอาจเป็นสิ่งที่รุ่นลูกไม่อยากสืบทอดต่อแล้วก็ได้
ความว่างเปล่าคือคำตอบสุดท้าย
ฉากจบของหนังอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกทิ้งกลางทาง โตแลกอิสรภาพด้วยเงิน 24 ล้าน แต่ไม่มีใครได้ใช้มัน — เพชรตาย เข็มเผาเงิน ส่วนโตติดคุกและถูกเก็บในนั้นเสียเอง เงินที่ถูกโอนไปยังบัญชีของคนตายกลายเป็น เงินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ อีกครั้ง ราวกับว่าหนังตั้งใจจะย้อนคำถามแรกสุดกลับมาหาเรา

“สุดท้ายแล้ว ในประเทศที่คนยังเชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง — มีอะไรเหลืออยู่ให้แลกกับศีลธรรมอีกไหม?”
บทส่งท้าย : เมื่อตายแล้วทุกคนก็รัก
ชื่อหนัง “ลักกันวันตาย – Everybody Loves Me When I’m Dead” ไม่ได้พูดถึงความตายทางกาย แต่พูดถึงความตายของ ความหมายในการมีชีวิต เราอาจจะยังหายใจ แต่สำนึกในคุณค่าของตัวเองได้ตายไปนานแล้ว นิธิวัฒน์ทำให้เราเห็นว่าสังคมไทยยุคนี้เต็มไปด้วยคนที่ “ยังอยู่” แต่ “หมดอายุ” — คนที่ต้องลักความหวังของคนอื่นมาเติมเชื้อไฟให้ตัวเองรอดไปอีกวัน
หนังอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็มีพลังพอจะทำให้เราอยากมองเข้าไปในความว่างเปล่าของชีวิตและถามตัวเองว่า เรากำลังทำงานเพื่อใคร? เพื่อครอบครัวจริงๆ หรือเพื่อระบบที่พร้อมจะลอยแพเราในวันที่ไม่ทำกำไรให้มันอีกแล้ว?
และเมื่อถึงวันนั้น — วันที่ไม่มีใครเหลืออยู่ข้างเรา — เราอาจเข้าใจความหมายของชื่อหนังชัดเจนขึ้นเองว่า
“ทุกคนจะรักฉัน ก็ต่อเมื่อฉันตายแล้วเท่านั้น”

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ