Skip to content

Sign of the Times : Harry Styles | บทเพลงแห่งการเริ่มต้นที่ไม่ใช่การเริ่มต้น

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

“Sign of the Times” คือเสียงเปิดม่านโลกใหม่ของ Harry Styles — ไม่ใช่เพียงในฐานะศิลปินเดี่ยวหลังจากวง One Direction แต่ในฐานะผู้ชายที่กำลังประกาศว่า เขามีบางสิ่งจะพูดกับโลกนี้จริงๆ
เพลงนี้เปิดตัวในปี 2017 พร้อมอัลบั้มเดบิวต์ชื่อเดียวกัน “Harry Styles” — และสิ่งแรกที่ผู้ฟังทั่วโลกสัมผัสได้ไม่ใช่แค่เสียงร้องอันกล้าหาญเท่านั้น แต่คือบรรยากาศอันยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา ที่ชวนให้นึกถึง David Bowie, Queen, Pink Floyd, และ John Lennon ทั้งในแง่โครงสร้างเพลงและอารมณ์ของความสิ้นหวังผสมความหวัง

ในเวลาที่โลกของป๊อปกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยจังหวะดิจิทัลและการผลิตที่ฉาบฉวย Harry กลับเลือกจะเปิดประตูแรกของตัวเองด้วยเพลงยาวเกือบหกนาที ที่เต็มไปด้วยความเงียบเวิ้งว้าง เสียงกลองที่ค่อยๆ พุ่งขึ้นราวระเบิด และท่อนร้องที่เหมือนคำสารภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่ยืนอยู่กลางความพังพินาศของโลก

ที่มาของเพลง: จุดเริ่มต้นจากห้องอัดและการตั้งคำถามถึงโลกที่กำลังแตกสลาย

“Sign of the Times” ถือกำเนิดขึ้นในสตูดิโอที่ Jamaica ระหว่างที่ Harry และโปรดิวเซอร์ Jeff Bhasker (ผู้เคยร่วมงานกับ Kanye West, Mark Ronson และ fun.) เดินทางไปสร้างเสียงของอัลบั้มแรก
ว่ากันว่าขณะเขียนเพลงนี้ Harry พูดกับทีมว่า

“I just want to make something that feels timeless.”
(ผมอยากสร้างอะไรที่รู้สึกว่าเหนือกาลเวลา)

เพลงเริ่มจากภาพหญิงคนหนึ่งที่ให้กำเนิดลูกในโลกที่กำลังจะตาย เธอรู้ว่าตัวเองจะไม่รอด แต่ก็ขอเพียงให้ลูกของเธอมีชีวิตต่อไป — นี่คือแรงบันดาลใจเบื้องต้นของ Harry ซึ่งเปรียบได้กับภาพแทนของมนุษยชาติ: เราอาจพังทลายลง แต่ความหวังและความรักยังเป็นสิ่งที่ส่งต่อได้

ในอีกชั้นหนึ่ง เพลงนี้ถูกมองว่าเป็นบทสวดอาลัยให้กับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความกลัวและข่าวร้าย ทั้งสงคราม การเมือง การสูญเสีย และความไม่แน่นอนของโลกยุคใหม่ มันคือ “Sign of the Times” — สัญญาณแห่งยุคสมัย ที่เราทุกคนต่างได้ยินและรู้ดี

ความหมายของเพลง: เมื่อ “การหนี” กลายเป็น “การตื่นรู้”

เนื้อเพลงอาจฟังดูเหมือนคำพูดง่ายๆ อย่าง “We gotta get away from here” แต่แท้จริงแล้วมันคือเสียงสะท้อนของการดิ้นรนในใจคนรุ่นใหม่ ที่รู้สึกเหมือนกำลังถูกจมลงในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความสูญเสีย

Harry พูดถึงการ “ลอยขึ้นไป” ไม่ใช่การหนีตาย แต่เป็นการข้ามพ้น — การยอมรับความจริงของชีวิตและความตายอย่างสงบ

เสียงเปียโนที่เริ่มต้นด้วยคอร์ดเรียบง่ายเหมือนบทอธิษฐาน ก่อนจะถูกคลี่ออกด้วยเสียงกลองแบบ Phil Collins และกีตาร์สไตล์ Bowie’s Space Oddity สะท้อนการเดินทางจากความสิ้นหวังไปสู่ความยอมรับ
มันไม่ใช่เพลงแห่งความเศร้าอย่างเดียว แต่คือ “เพลงปลอบโยน” สำหรับโลกที่กำลังแตกสลาย

Harry เองเคยกล่าวไว้ว่า

“The song is about everything — political tension, fear, dying people, and saying it’s going to be okay.”

ดังนั้น “Sign of the Times” จึงไม่ใช่แค่เสียงของศิลปินหนุ่มที่เพิ่งโตขึ้น — แต่มันคือเสียงของมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังตะโกนว่า “อย่ายอมแพ้กับยุคสมัย ถึงแม้มันจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม”

เสียงและอารมณ์: ความอลังการในความเดียวดาย

ดนตรีของเพลงนี้คือสิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นตำนานทันทีที่ออกมา — เสียงกลองขนาดใหญ่ที่เหมือนก้องอยู่ในโบสถ์, เสียงสังเคราะห์ที่เหมือนคลื่นลมในอวกาศ, และเสียงร้องของ Harry ที่ค่อยๆ พุ่งทะยานจากคำกระซิบไปจนถึงเสียงตะโกนราวกับจะฉีกฟ้า

มันคือการเรียงร้อยอารมณ์จาก “ความกลัว” ไปจนถึง “การปลดปล่อย” อย่างสมบูรณ์แบบ
ทุกครั้งที่ท่อน “We gotta get away” ดังขึ้น เหมือนหัวใจของเพลงเต้นแรงอีกครั้ง และผู้ฟังรู้สึกเหมือนได้รับโอกาสที่จะ “หนีออกจากความสิ้นหวังของตัวเอง”

บทสรุป: เพลงที่โลกจะไม่มีวันลืม

“Sign of the Times” ไม่ใช่เพลงป๊อปธรรมดา มันคือ “อีพิธีแห่งการล้างบาปของศิลปินหนุ่มผู้กล้า” — การประกาศอิสรภาพจากวงเก่า จากความคาดหวังของอุตสาหกรรม และจากภาพของเด็กหนุ่มในโปสเตอร์

มันคือบทเพลงที่บอกเราว่า ความเศร้าไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณว่าความหวังยังมีชีวิตอยู่
Harry Styles ไม่ได้แค่ร้องเพลงนี้ เขา “ยกมันขึ้นเป็นคำอธิษฐานของโลกยุคใหม่” — และในวันใดที่เรารู้สึกว่าโลกกำลังถล่มลงมาใส่ตัวเอง เสียงประโยคเดียวนี้จะยังคงอยู่ในใจเสมอ:

“Just stop your crying, it’s a sign of the times.”

แปลเพลง Sign of the Times: บทสวดแห่งความหวังท่ามกลางวันสิ้นโลก

Just stop your crying, it’s a sign of the times | หยุดร้องไห้เถอะนะ นี่คือสัญญาณของยุคสมัย
Welcome to the final show | ยินดีต้อนรับสู่การแสดงครั้งสุดท้าย
Hope you’re wearing your best clothes | หวังว่าเธอจะสวมชุดที่ดีที่สุดไว้แล้วนะ

You can’t bribe the door on your way to the sky | ไม่มีสินบนไหนเปิดประตูขึ้นสวรรค์ได้
You look pretty good down here | เธอดูดีแล้วล่ะ ในโลกใบนี้
But you ain’t really good | แต่เธอเองก็ยังไม่อาจบริสุทธิ์จริงๆ

We never learn, we’ve been here before | เราไม่เคยเรียนรู้ เราเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน
Why are we always stuck and running from the bullets? | ทำไมเราถึงยังคงหนีจากกระสุนอยู่เสมอ?
The bullets | กระสุนแห่งความกลัวเหล่านั้น

Just stop your crying, it’s a sign of the times | หยุดร้องไห้เถอะนะ มันคือสัญญาณของยุคสมัย
We gotta get away from here | เราต้องหนีจากที่นี่ไป
We gotta get away from here | เราต้องหนีออกไปให้ได้
Just stop your crying, it’ll be alright | หยุดร้องไห้เถอะ ทุกอย่างจะดีเอง

They told me that the end is near | พวกเขาบอกฉันว่า จุดจบใกล้เข้ามาแล้ว
We gotta get away from here | เราต้องหนีจากที่นี่ไป

Just stop your crying, have the time of your life | หยุดร้องไห้ซะ แล้วใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุด
Breaking through the atmosphere | ฝ่าออกจากบรรยากาศที่กักขังไว้
And things are pretty good from here | แล้วจากตรงนี้ ทุกอย่างก็ดูงดงามเหลือเกิน

Remember, everything will be alright | จำไว้นะ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
We can meet again somewhere | เราจะได้พบกันอีกครั้งที่ไหนสักแห่ง
Somewhere far away from here | ที่ใดสักแห่งที่ห่างไกลจากที่นี่

We never learn, we’ve been here before | เราไม่เคยเรียนรู้ เราเคยผ่านมันมาแล้ว
Why are we always stuck and running from the bullets? | ทำไมเรายังคงหนีจากกระสุนอยู่เรื่อยไป?
The bullets | กระสุนที่ไม่เคยหยุดยิงใส่เา

Just stop your crying, it’s a sign of the times | หยุดร้องไห้เถอะ มันคือสัญญาณของยุคสมัย
We gotta get away from here | เราต้องหนีจากที่นี่ไป
We gotta get away from here | เราต้องหนีออกไปให้ได้

We don’t talk enough | เราไม่เคยพูดกันให้พอ
We should open up | เราควรเปิดใจเสียที
Before it’s all too much | ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

Will we ever learn? | แล้วเราจะเคยเรียนรู้บ้างไหม?
We’ve been here before | เพราะเราก็เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน
It’s just what we know | นี่แหละสิ่งที่เราคุ้นเคย

Stop your crying, baby | หยุดร้องไห้เถอะนะที่รัก
It’s a sign of the times | มันคือสัญญาณของยุคสมัย
We gotta get away | เราต้องหนีออกไป
We got to, we got to away | เราต้องหนีออกไปจากตรงนี้
Yeah, we got to away | ใช่แล้ว เราต้องไปให้ไกลจากที่นี่

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole