Skip to content

City Looks Pretty | เมืองที่สวยงามแต่เหงาใจ: บทบันทึกของ Courtney Barnett

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

มีบางเพลงที่ฟังแล้วเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางเมืองที่คุ้นเคยแต่กลับรู้สึกแปลกหน้า —
“City Looks Pretty” คือเพลงประเภทนั้นของ Courtney Barnett นักร้อง–นักแต่งเพลงชาวออสเตรเลียผู้ถ่ายทอดความเปลี่ยวเหงาแบบไม่ต้องเรียกร้องความสงสาร เพลงนี้ไม่ใช่เพียงภาพของเมืองเมลเบิร์นที่เธออาศัยอยู่เท่านั้น แต่คือ “ภาพสะท้อนภายในใจ” ของศิลปินที่อยู่ระหว่าง การเดินทางกลับจากชื่อเสียงสู่ความเงียบเหงา

ในยุคที่ Barnett เพิ่งเสร็จสิ้นการทัวร์อัลบั้ม Sometimes I Sit and Think, and Sometimes I Just Sit ชีวิตเธอเต็มไปด้วยความสับสนระหว่าง “ตัวตนศิลปิน” กับ “ตัวตนธรรมดา” ที่อยากอยู่บ้านเฉยๆ เพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เธอเริ่มรู้สึกถึง แรงกดดันจากการเข้าสังคมหลังความสำเร็จ, ความเหนื่อยล้าทางใจ, และความไม่แน่ใจว่าความโดดเดี่ยวนั้นเป็นคำสาปหรือคำปลอบ

เบื้องหลัง: จากความโด่งดังสู่การแยกตัว

“City Looks Pretty” เขียนขึ้นในช่วงปี 2017 ระหว่างที่ Courtney เริ่มทำอัลบั้ม Tell Me How You Really Feel — อัลบั้มที่เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวและตรงไปตรงมาในแบบที่เธอไม่เคยยอมพูดมาก่อน
เธอให้สัมภาษณ์ว่าในช่วงนั้น “ฉันเริ่มเข้าใจว่าความเหนื่อยมันมาในรูปแบบของความเหงา และบางครั้งฉันก็รู้สึกว่าคนรอบข้างมองฉันเหมือนสิ่งของมากกว่าคนจริงๆ”

เพลงนี้จึงกลายเป็นเหมือนบันทึกเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่มองโลกจากในห้องของตัวเอง มองออกไปเห็นเมืองที่สวยแต่ดูไร้ชีวิตชีวา มันไม่ใช่เมืองที่เปลี่ยน — แต่เธอต่างหากที่เปลี่ยนไปจากข้างใน

สิ่งน่าสนใจคือโครงสร้างของเพลง — เริ่มต้นด้วยจังหวะกีตาร์แผ่วเบา สะกดให้คนฟังรู้สึกเหมือนกำลังมองผ่านกระจก แล้วค่อยๆ พัฒนาไปสู่จังหวะร็อกที่ฟุ้งกระจาย มันคือ เสียงของการพยายามเชื่อมต่อกับโลกภายนอกอีกครั้ง

ความหมาย: เมื่อความสวยงามกลายเป็นภาพลวงตา

ชื่อเพลง City Looks Pretty มีความย้อนแย้งในตัวเอง — เมืองดู “สวย” แต่ความสวยนั้นไม่ได้หมายถึงความสุข มันอาจเป็นความสวยแบบ “ปลอมๆ” ของสิ่งที่เราพยายามจะเชื่อว่ายังโอเค ทั้งที่ข้างในเรารู้ดีว่าไม่

Barnett ใช้ภาพของเมืองเป็นสัญลักษณ์ของ ความสัมพันธ์และสังคม
เมืองเต็มไปด้วยผู้คน แต่หัวใจกลับโดดเดี่ยว
เธอพูดถึงการ “กลับมาบ้าน” ในความหมายที่ลึกกว่าทางกายภาพ — คือการกลับมาหาตัวเองอีกครั้งหลังจากหลงทางในเสียงปรบมือและแสงไฟ

แต่ขณะเดียวกัน เธอก็สารภาพว่า “บ้าน” เองก็ไม่ใช่ที่ที่เธอรู้สึกปลอดภัยเสมอไป มันคือที่ซึ่งเธอเจอกับ “ตัวตนจริงๆ” ที่ไม่ได้เพียบพร้อมอย่างที่คนอื่นคิด และนั่นเจ็บกว่าเสียงวิจารณ์จากโลกภายนอกเสียอีก

เสียงของการฟื้นคืน: เมื่อกีตาร์กลายเป็นภาวนา

ดนตรีของเพลงนี้มีความสองขั้ว — มันทั้ง “สดใสและเหนื่อย” ในเวลาเดียวกัน
ริฟฟ์กีตาร์ที่เหมือนลอยอยู่เหนือคลื่นความคิด สะท้อนความพยายามจะยิ้มในวันที่ไม่มีแรง
เสียงร้องของเธอไม่ใช่การประกาศความทุกข์ แต่เป็นการ ยอมรับว่าทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้นเอง

และนี่คือสิ่งที่ทำให้ City Looks Pretty งดงามกว่าที่เห็น:
มันไม่ใช่เพลงเศร้าที่จมอยู่ในความมืด แต่เป็นเพลงของคนที่กำลังค่อยๆ ยอมรับแสงแดดโดยไม่ต้องหลอกตัวเองว่ามีความสุขตลอดเวลา

บทสรุป: เมืองที่สะท้อนใจ

City Looks Pretty คือเสียงของคนที่พยายามหาความหมายของคำว่า “อยู่ดี”
มันพูดแทนความรู้สึกของคนที่เคยมีทุกอย่าง — ความสำเร็จ, ผู้คน, ความสนใจ — แล้วกลับมารู้ว่าทั้งหมดนั้นไม่ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้นเลย

Courtney Barnett ไม่ได้สอนให้เรามองโลกในแง่ดี
แต่เธอสอนให้เรา มองโลกตามที่มันเป็น และมองเข้าไปในตัวเองโดยไม่กลัวสิ่งที่เห็น

และบางทีนั่นแหละ — คือความงามที่แท้จริงของเมือง ที่เรามองเห็นได้ก็เมื่อเราหยุดหนีมันเสียก่อน

แปลเพลง City Looks Pretty

The city looks pretty when you been indoors
| เมืองดูสวยดีนะ เมื่อเธอเก็บตัวอยู่ในบ้านมานาน |

For 23 days I’ve ignored all your phone calls
| ฉันไม่รับสายเธอมายี่สิบสามวันเต็ม |

Everyone’s waiting when you get back home
| ทุกคนรอคอยเธอเมื่อเธอกลับถึงบ้าน |

They don’t know where you been, why you gone so long
| พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอหายไปไหน ทำไมถึงหายไปนานขนาดนั้น |

Friends treat you like a stranger and
| เพื่อนๆ ทำเหมือนเธอเป็นคนแปลกหน้า |

Strangers treat you like their best friend, oh well
| ส่วนคนแปลหน้ากลับทำเหมือนเธอคือเพื่อนรัก — ก็เอาเถอะ |

Spare a thought for the ones that came before
| ลองคิดถึงคนที่มาก่อนหน้าเราบ้างสิ |

All in a daze bending backwards to reach your goal
| ทุกคนต่างโงนเงนพยายามจนหลังแอ่น เพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง |

Sometimes I get sad
| บางครั้งฉันก็เศร้า |

It’s not all that bad
| แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมดหรอก |

One day, maybe never
| วันหนึ่ง — หรืออาจไม่มีวันนั้นเลยก็ได้ — |

I’ll come around
| ฉันอาจเข้าใจได้เองในที่สุด |


The city takes pity on your injured soul
| เมืองดูจะเวทนาต่อวิญญาณที่บอบช้ำของเธอ |

And heavenly prose ain’t enough good to fill that hole
| แม้แต่ถ้อยคำงดงามจากสวรรค์ก็ไม่พอจะกลบช่องว่างในใจ |

Everyone’s soaked in animosity
| ทุกคนชุ่มไปด้วยความขุ่นเคืองและการเสแสร้ง |

It’s vicious in winter, you never say what you mean
| ฤดูหนาวมันโหดร้าย — เธอไม่เคยพูดในสิ่งที่เธอหมายจริงๆ |

Friends treat you like a stranger and
| เพื่อนๆ ทำเหมือนเธอเป็นคนแปลกหน้า |

Strangers treat you like their best friend, oh well
| ส่วนคนแปลหน้ากลับทำเหมือนเธอคือเพื่อนสนิท — ก็เอาเถอะ |

Wakin’ up to another dismal day
| ตื่นขึ้นมาเจอกับวันหม่นอีกวัน |

You got a ways to go, you oughta be grateful
| เธอยังมีทางอีกยาวไกล ควรจะรู้สึกขอบคุณไว้บ้าง |

Sometimes I get mad
| บางครั้งฉันก็โกรธ |

It’s not half as bad
| แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายครึ่งหนึ่งของที่คิดหรอก |

Pull yourself together
| รวบรวมสติไว้หน่อยนะ |

And just calm down
| แล้วก็ใจเย็นลงสักนิด |

I’ll be what you want, oh when you want it
| ฉันจะเป็นอย่างที่เธอต้องการ — เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอต้องการมัน |

But I’ll never be what you need
| แต่ฉันไม่มีวันเป็นสิ่งที่เธอ “ต้องการจริงๆ” ได้หรอก |

And the city looks pretty from where I’m standing
| และเมืองก็ดูสวยดี… จากตรงที่ฉันยืนอยู่ |

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole