Skip to content

[รีวิว] High Plains Drifter (1973) | นิทานคาวบอยตะวันตกอันน่าสะพรึงกับความผิด การแก้แค้นของวิญญาณที่สมควรได้รับ

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

เมื่อควันแห่งความโหดร้ายจางหายไปเหนือเมืองลาโก้ที่เปื้อนไปด้วยเลือด และเสียงปืนครั้งสุดท้ายค่อยๆ สงบลงใต้เสียงลมหอนน่าสยองขวัญ คำถามเดียวที่ยังคงวนเวียนอยู่เหมือนเงาของคนแปลกหน้าบนขอบฟ้าคือ: เกิดอะไรขึ้นกันแน่นี่?

ภาพยนตร์เรื่อง High Plains Drifter ของคลินท์ อีสต์วูด ไม่ใช่หนังคาวบอยตะวันตกแบบธรรมดาทั่วไป นี่คือฝันร้ายอันเป็นนามธรรม ห่อหุ้มด้วยรองเท้าคาวบอยเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและความดิบเถื่อน ใต้เปลือกนอกของแนวหนังคาวบอย ซ่อนเร้นไปด้วยการไตร่ตรองถึงความผิดร่วมกัน ความยุติธรรมอันสูงสุด และ จิตวิญญาณที่เน่าเปื่อยของชาวเมืองที่ปล่อยให้ความชั่วร้ายเจริญเติบโต ปู่คลินท์ อีสต์วูด ในฐานะผู้กำกับและนักแสดงนำ ได้กลับหัวกลับหางวีรบุรุษแบบดั้งเดิมของหนังคาวบอย เท่านั้นยังไม่พอ เหมือนแกยิงเราจากข้างหลังอย่างไร้ความปรานี

🔥 คำเตือน: สปอยแน่นอน — คนแปลกหน้า การข่มขืน และความอับอายของเมือง

เรื่องราวเริ่มต้นเหมือนนิยายคาวบอยแบบคลาสสิก: ชายนิรนามคนหนึ่ง (คลินท์ อีสต์วูด) ขี่ม้าเข้าสู่เมืองที่มีธุรกิจเหมืองเล็กๆ ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ภายในไม่กี่นาทีที่มาถึง เขาก็ได้สังหารชายสามคนและข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง (คัลลี่ เทรเวอร์ส)ท่ามกลางแสงแดดกลางวัน มันทารุณ มันสะเทือนขวัญ และวางบรรยากาศเรื่องราวได้อย่างชัดเจน: นี่ไม่ใช่เรื่องราวของวีรบุรุษ นี่คือเรื่องราวของการชดใช้

ตัวละครของปู่คลินท์ เรียกง่ายๆ ว่า “คนแปลกหน้า” ไม่ใช่ผู้ช่วยหรือผู้กอบกู้ แต่เป็น พลังแห่งการแก้แค้น วิญญาณอาฆาตที่ถูกส่งมา (บางทีอาจเป็นจริงๆ) จากโลกหลังความตาย เรารู้ว่าเมืองลาโก้ซ่อนความลับอันมืดมิด เมื่อปีก่อนพวกชาวเมืองยืนมองดู นายอำเภอพิเศษ (Marshall) จิม ดันแคน โดยไม่สนใจขณะที่เขาถูกเฆี่ยนตีจนตายโดยเหล่าคนนอกกฎหมาย ขณะที่พยายามปกป้องความยุติธรรมให้เมืองอยู่แท้ๆ ไม่เพียงแค่ปล่อยให้เกิดเรื่อง พวกเขายังช่วยปกปิดเหตุการณ์นั้นอีกด้วย

เมื่อพวกชาวเมืองจ้างคนแปลกหน้าให้ปกป้องตัวเองจากสมุนนอกกฎหมายที่กลับมาจากคุก (สเตซี่ บริดจ์ และแก๊งของเขา) นั่นเท่ากับการทำสัญญากับปีศาจและปีศาจเรียกร้องมากกว่าแค่กระสุนปืนอย่างแน่แท้

💥 นั่นเลยแปลว่าทำไมปู่คลินท์แกข่มขืนผู้หญิงในเมือง…ช่วงต้นเรื่อง

ฉากเหล่านี้น่าตกใจและพาสับสนกับตัวเอกของเรื่องพอควร แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือยกย่องการกระทำอันรุนแรง แต่กลับเป็นการเผชิญหน้ากับแก่นแท้ของเรื่อง: การทำลายล้างความบริสุทธิ์เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ไม่มีคนดีในเมืองลาโก้เลยแม้แต่คนเดียว คัลลี่ เทรเวอร์ส ถูกวาดภาพให้เห็นว่าเป็นคนจิตใจไม่ดี เป็นคนมีอคติ และในที่สุดก็มีส่วนร่วมในอาชญากรรมของเมือง ซาราห์ เบลดิง ก็เช่นกัน ใช้ความสนิทสนมกับคนแปลกหน้าเพื่อทรยศต่อผลประโยชน์ของสามีเพื่อการอยู่รอดของตัวเอง

นี่ไม่ได้เป็นการอ้างเหตุผลให้กับการกระทำของคนแปลกหน้า แต่กลับวาดภาพเขาเป็น วิญญาณแห่งความโกรธที่ไร้มนุษยธรรม ไม่ใช่มนุษย์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรม เขานำความเจ็บปวดมาเพราะเมืองนี้สมควรได้รับความเจ็บปวด เขาไม่มีเมตตามีเพียงการลงโทษ

​​🌫 แท้จริงแล้ว คนแปลกหน้า คือใคร?

ปู่คลินท์ไม่เคยยืนยันตัวตนของคนแปลกหน้าโดยตรง แต่ทุกอย่าง ตั้งแต่รอยปวดร้าวในฝันไปจนถึงความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับบาปแห่งเมือง ชี้ให้เห็นว่าเขาคือ วิญญาณของจิม ดันแคน หรือก็คือวิญญาณแห่งการแก้แค้น ช่วงปลายเรื่อง เมื่อชายแคระ(มอร์เดอไค)สลักชื่อจิม ดันแคนลงบนหลุมศพที่เคยไร้ชื่อ แล้วค่อยๆ จางหายไป ก็ยิ่งตอกย้ำความนัยนี้อย่างแจ่มชัด

เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่จริง เขาเป็นเพียง ตำนาน ผลกรรม วิญญาณในหมวกดำ

🏚 นั่นเลยเป็นที่มา…ชายแปลกหน้าไม่อยู่ช่วยชาวเมือง

ช่วงนี้ในระหว่างรับชมทำให้สับสนพอควร เมื่อสเตชี่ บริดจ์และพรรคพวกมาถึง คนแปลกหน้าก็ทอดทิ้งชาวเมืองไปต่อหน้าต่อตา แต่จงมองให้ลึกลงไป เขาทำอย่างเดียวกับที่ชาวลาโก้เคยทำกับจิม ดันแคน: พวกเขาเคยยืนมองขณะจิมถูกสังหาร เป็นดั่งการทดสอบกลับให้พวกชาวเมือง คราวนี้พวกเขาเองจะยืนหยัดต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของตนหรือไม่ แน่นอนพวกเขาไม่ทำ พวกเขาทรยศต่อกันอีกครั้ง และเมื่อนั้น คนแปลกหน้าจึงกลับมา ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือ แต่เพื่อประหารคำสั่งสุดท้าย

เหมือนกลับมาเพื่อลงโทษพวกชาวเมืองลาโก้ เมอร์เดอไค-ชายแคระผู้กลายเป็นนายอำเภอก็เข้าใจเรื่องนี้ เขาเป็นตัวละครเดียวที่มีร่องรอยของมนุษยธรรมในเรื่อง

📜 ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามสื่ออะไร?

คลินท์ อีสต์วูดและมือเขียนบท เออร์เนสต์ ทิดแมน (ผู้มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์ Shaft) สร้างสรรค์นิทานศีลธรรมอันมืดมิดในชุดคาวบอย:

  • ความขลาดขลุยทางศีลธรรม: ทั้งเมืองมีความผิด—ไม่ใช่แค่การนิ่งเฉย แต่ยินดีต้อนรับความชั่วร้ายเพื่อผลประโยชน์
  • ความยุติธรรมของผู้แก้แค้นกับความยุติธรรมตามกฎหมาย: วิธีการอันทารุณของคนแปลกหน้าต่างจากการยืนหยัดอย่างถูกกฎหมายของดันแคน คนหนึ่งถูกทำลายโดยความชั่ว อีกคนหนึ่งกลับมาเพื่อทำลายความชั่ว
  • ราคาของความเงียบ: การปฏิเสธที่จะลงมือของชาวเมืองนำพวกเขาไปสู่ความตาย—และบางทีอาจเป็นจิตวิญญาณของพวกเขาด้วย
  • การลงทัณฑ์ทางวิญญาณ: นี่ไม่ใช่เรื่องราวของมนุษย์ แต่เป็นเรื่องอภิปรัชญา คนแปลกหน้าคือการบุคลิกของกฎแห่งกรรม

🎬 บทสรุปสุดท้าย:

High Plains Drifter ไม่ใช่ภาพยนตร์สำหรับทุกคน ความรุนแรงของมันดุดัน ไร้ความปรานี ศีลธรรมมี ความคลุมเครือ และตัวเอกมี ลักษณะเกือบเป็นปีศาจ แต่นี่คือผลงานอันกล้าหาญในโลกภาพยนตร์ตะวันตกที่ขุดคุ้ยจิตสำนึกอันถูกกดทับของแนวหนังคาวบอยพเนจร จงคิดถึงมันเหมือนเรื่อง Unforgiven(1992) —ภาพยนตร์ที่ไม่แสวงหาการไถ่บาป เพียงแต่ต้องการความยุติธรรมที่แผดเผาลงบนผืนแผ่นดินด้วยไฟแห่งความแค้น

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole