Skip to content

[รีวิว] Stand by Me Doraemon 2 (2020) | เมื่อความทรงจำของครอบครัวกลายเป็นรากเหง้าของการเติบโต และการเป็นผู้ใหญ่คือการยอมรับบาดแผลที่เราไม่เคยกล้าหันกลับไปมอง

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

ถ้าหนังภาคแรกคือบทกวีว่าด้วย “มิตรภาพ” ระหว่างเด็กชายที่โลกทั้งใบเอียงไปผิดด้านกับหุ่นยนต์แมวจากอนาคต—ภาคสองคือ บทภาวนาเงียบๆ ของคนญี่ปุ่นต่อคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ใช้ตัวละครจากการ์ตูนในวัยเด็กเป็นเครื่องมือขุดลงไปถึงรากลึกของความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นสู่รุ่น จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ใหญ่เท่านั้นถึงจะเข้าใจอย่างเจ็บหน่วง

หนังเริ่มต้นด้วยการพาเรากลับไปยัง “งานแต่งงานของโนบิตะ” เหตุการณ์ที่เคยถูกเล่าแบบผิวเผินในมังงะ แต่ในเวอร์ชันนี้ กลายเป็น “จุดแตกหัก” ที่เผยให้เห็นด้านที่เปราะบางที่สุดของโนบิตะ—เด็กชายขี้แพ้ที่แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเอง “คู่ควรกับความรัก” ของชิซูกะจริงหรือไม่ ความลังเล ความกลัว และความรู้สึกด้อยค่าที่ฝังลึกในจิตใจตั้งแต่เด็ก ถูกขยายผ่านภาพของ โนบิตะผู้ใหญ่ที่ล้มเหลวในพิธีสำคัญที่สุดของชีวิต จนต้องให้โดราเอมอนและโนบิตะเด็กย้อนเวลาไปแก้ไขตัวตนของเขาเอง นี่ไม่ใช่เพียงพล็อตแฟนตาซี แต่มันคือการส่องไฟเข้าไปในรอยแผลที่เด็กชายคนหนึ่งเก็บงำมาตลอดชีวิต

แต่หัวใจจริงๆ ของ Stand by Me Doraemon 2 ไม่ได้อยู่ที่ความรักของคู่บ่าวสาว แต่อยู่ที่ “ความทรงจำของครอบครัว”—หรือพูดให้เฉียบยิ่งขึ้นคือ “ความเจ็บปวดแบบญี่ปุ่นที่ถูกส่งต่อโดยไม่ตั้งใจระหว่างรุ่นสู่รุ่น”

ย่าที่จากไปนานแล้ว และเด็กชายที่ยังไม่รู้วิธีจะบอกลาใครสักคน

ฉากที่โนบิตะย้อนกลับไปพบ “คุณย่า” ที่ตายไปตั้งแต่เขายังเล็กคือจุดสูงสุดของหนัง เป็นฉากที่กวาดน้ำตาผู้ชมชาวญี่ปุ่นมานับไม่ถ้วน เพราะมันคือหนึ่งในความทรงจำร่วมของวัฒนธรรมญี่ปุ่น—การสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่รักยิ่งโดยที่เด็กยังไม่รู้ว่าการจากลาเป็นถาวร หนังฉายภาพคุณย่าอย่างละมุนละไม ไม่ใช่ในฐานะ “ตัวละคร” แต่ราวกับเป็น “กลิ่นของบ้าน” ที่หลงเหลือในใจโนบิตะมาตลอด

เธอไม่ถามว่าทำไมหลานของเธอถึงหนีเรียน ไม่ดุด่าว่าเขาเป็นเด็กอ่อนแอ ไม่คาดหวังให้เขาเก่งกว่าคนอื่น—เธอเพียงแต่อยากเห็นเขา “มีความสุข” โตขึ้น “เป็นคนดี” และ “มีคนรักอย่างจริงใจ” สิ่งที่คุณย่าขอเห็นก่อนตายคือ “เจ้าสาวในอนาคตของโนบิตะ” ประโยคที่เหมือนจะธรรมดา แต่แท้จริงคือภาพแทนของความฝันแบบญี่ปุ่นสมัยหลังสงคราม—การได้เห็นลูกหลาน “ยืนได้ด้วยตัวเอง” ก่อนตนจะลาจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

และเมื่อโนบิตะโกหกว่าตนมีเจ้าสาวแล้ว ทั้งที่ตัวเองยังไม่แน่ใจในคุณค่าเลยด้วยซ้ำ หนังจึงพาเราเห็นความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์—ความต้องการ “เป็นคนที่ดีกว่านี้” สำหรับคนที่เรารัก แม้ว่าตัวเราจะรู้สึกต่ำต้อยแค่ไหนก็ตาม

พ่อแม่ที่เงียบงัน แต่คือสถาปัตยกรรมของความเป็นผู้ใหญ่

หนังใช้โอกาสนี้ขุดลึกลงไปในครอบครัวโนบิตะ—โดยเฉพาะในแบบที่ผู้ชมไทยอาจไม่เคยเห็นจากต้นฉบับมาก่อน พ่อของโนบิตะ ผู้ชายที่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆ ดูเหมือนเป็นเพียงตัวละครแบ็กกราวด์ แต่ในภาคนี้ ความเงียบของเขากลับมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด เพราะเราถูกพาย้อนเวลากลับไปเห็น “ช่วงเวลาที่เขาเป็นพ่อคนใหม่” และเป็นคนตั้งชื่อ “โนบิตะ” ด้วยตัวเอง ความหมายที่เขาเลือกสื่อผ่านชื่อนั้น—ความหวังว่าเด็กคนนี้จะ “เติบโตอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา” และไม่ต้องแข่งขันกับใคร—กลายเป็นหน้าต่างบานเล็กที่เปิดให้เห็นหัวใจของผู้ชายที่ไม่ค่อยพูด แต่รักลูกอย่างลึกซึ้งแบบที่คนญี่ปุ่นยุคโชวะมักแสดงออกผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด

ฉากเงียบๆ นี้เองที่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมพ่อถึงมองโนบิตะแบบนั้น ทำไมถึงไม่เคยกดดันเรื่องความเก่ง แต่กลับเฝ้าปกป้องความอ่อนโยนในตัวลูกมาตลอด เป็นช่วงเวลาเล็กๆ ที่ทำให้ผู้ชมรู้ว่า “ชื่อโนบิตะ” ไม่ใช่เพียงชื่อ แต่คือถ้อยคำแห่งความรักที่ถูกซ่อนอยู่ในความทรงจำของครอบครัว—และกลับมาเติมเต็มงานแต่งงานในปัจจุบันอย่างงดงามที่สุด

แม่ของโนบิตะเองก็แสดงความรักแบบญี่ปุ่น—เข้มงวด เหนื่อยล้า แต่มีความห่วงใยล้นปรี่หลังกำแพงคำบ่น หนังแสดงให้เห็นว่าทำไมเธอถึงคอยกดดันโนบิตะเรื่องผลการเรียน เพราะในสังคมญี่ปุ่น ผลการเรียนคือหลักประกันชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของลูก ความเข้มงวดที่ดูเหมือนความไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วคือความกลัวว่าลูกจะ “ไม่มีที่ยืนในอนาคต”

Stand by Me Doraemon 2 จึงไม่ได้แค่เล่าเรื่องครอบครัวโนบิตะ แต่ตีแผ่ “วิธีที่คนญี่ปุ่นรักกัน”—เงียบขรึม อ้อมค้อม และเต็มไปด้วยน้ำหนักของหน้าที่ที่กดทับหัวใจ

การเติบโตในแบบญี่ปุ่น: การยอมรับว่าเราอาจไม่เคยเก่งขึ้น แต่เราสามารถ ‘ซื่อสัตย์กับความกลัวของตัวเอง’ ได้

จุดที่หนังเฉียบคือ การให้ตัวละครโนบิตะเด็กและโนบิตะผู้ใหญ่ต้องมาประจันหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เด็กชายที่เคยเชื่อว่า “ถ้ามีโดราเอมอน ทุกอย่างจะแก้ไขได้” ต้องเผชิญหน้าเวอร์ชันผู้ใหญ่ที่กำลังล้มเหลวในวันที่สำคัญที่สุดของชีวิต ฉากนี้เหมือนความจริงตบหน้าไม่เพียงตัวละคร แต่รวมถึงผู้ชมที่โตมาพร้อมโนบิตะ—ว่า “การเติบโตไม่ใช่การกลายเป็นคนเก่ง แต่คือการกล้ารับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง แม้จะยังไม่พร้อมก็ตาม”

โดราเอมอนเองในภาคนี้แทบเป็น “ผู้ปกครอง” มากกว่าเพื่อน เขาไม่ใช่เครื่องแก้ปัญหา แต่เป็นกระจกที่สะท้อนให้โนบิตะเห็นว่าเขา “ต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง” ไม่ใช่เพราะโลกคาดหวัง แต่เพราะคุณย่า พ่อ แม่ และชิซูกะ ต่างเห็นสิ่งดีงามในตัวเขาที่ตัวเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

และท้ายที่สุด…ความรักของโนบิตะกับชิซูกะจึงงดงาม เพราะเป็น ‘ความรักที่เติบโตจากความไม่สมบูรณ์’

แทนที่จะทำให้ความรักของทั้งคู่หวานแบบการ์ตูน หนังกลับเลือกแนวทางที่ลึกกว่า—ให้ชิซูกะรักโนบิตะเพราะเขา “อ่อนโยน” แม้จะไม่ได้เก่งอะไรเลย ความอ่อนโยนที่เธอเห็นตรงกับสิ่งที่คุณย่าของเขาเคยเห็น และเป็นสิ่งเดียวที่พ่อแม่ของเขาหวงแหนมากกว่าความสำเร็จใดๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ “งานแต่งงาน” ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นพิธีกรรมที่ปิดบาดแผลข้ามรุ่น และเปิดประตูให้โนบิตะก้าวไปเป็นผู้ใหญ่โดยไม่ทิ้งตัวตนที่แท้จริงของเขา

สรุป: ภาพยนตร์ที่ปลุกความทรงจำของครอบครัว และตั้งคำถามกับความหมายของการเป็นผู้ใหญ่

Stand by Me Doraemon 2 ไม่ใช่หนังภาคต่อธรรมดา แต่เป็นงานที่เหมือนจดหมายรักถึงความทรงจำของผู้ใหญ่ทั้งรุ่น—ใครที่เคยสูญเสียญาติผู้ใหญ่ ใครที่เคยรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ดีพอ” สำหรับคนรัก ใครที่เติบโตมากับความคาดหวังในครอบครัว จะเจ็บปวดกับหนังเรื่องนี้อย่างประหลาด เพราะมันไม่ใช่ดราม่าสร้างน้ำตา แต่เป็น ความจริงที่เราไม่เคยยอมมองตรงๆ จนกระทั่งหนังพาเราไปยืนต่อหน้าคุณย่าของโนบิตะ และได้ยินเธอบอกว่า

“โตขึ้นเป็นคนดีนะ…แค่นั้นย่าก็ดีใจแล้ว”

นี่คือหนึ่งในรีวิวที่ลึกที่สุด ช้าที่สุด และอบอุ่นที่สุดเท่าที่โดราเอมอนเคยได้รับ—และมันทำให้เรารู้ว่าบางครั้ง การเติบโตก็ไม่ใช่การเดินไปข้างหน้าเสมอไป แต่อาจเป็นการเดินกลับไปหาความทรงจำหนึ่ง ที่เราเคยสูญเสียไปนานแล้ว เพื่อดึงพลังนั้นกลับมานำทางอนาคตของเราอีกครั้ง

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole