Skip to content

[รีวิว] Across the Universe : “รักนี้…คือทุกสิ่ง” (2007) | มิวสิคัลที่ใช้เพลง The Beatles ปั้นโลกทั้งใบให้เป็นบทกวีของรัก ปฏิวัติ และความเป็นมนุษย์

เวลาที่ใช้อ่าน : 4 นาที

มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่กล้าบ้าบิ่นถึงขนาดประกาศตัวเองตั้งแต่นาทีแรกว่า “ฉันจะเล่าเรื่องผ่านเพลง The Beatles ทั้งเรื่องนะ แล้วจะตีความใหม่หมดด้วย” — และยังทำออกมาได้งดงาม ลึกซึ้ง และสมศักดิ์ศรีตำนานที่สุดในวงการเพลงป๊อปสากลขนาดนี้ Across the Universe ของ Julie Taymor คือภาพยนตร์ประเภทนั้น หนังที่ไม่เพียง “ใช้” เพลง The Beatles ประกอบเนื้อหา แต่ “สร้างโลกทั้งใบขึ้นใหม่บนไวยากรณ์ของเพลงเหล่านั้น” ราวกับวรรณคดีร่วมสมัยที่ขับร้อง แทนที่จะเขียนเป็นบรรทัด

นี่คือภาพยนตร์ที่คนรัก The Beatles จะยิ้มกว้างในทุกฉาก ในขณะที่คนไม่ใช่แฟนเพลงจะได้ค้นพบว่าทำไมสี่หนุ่มจากลิเวอร์พูลถึงกลายเป็นจักรวาลทางวัฒนธรรมที่ไม่มีใครเทียบได้ ความยิ่งใหญ่ของหนังเรื่องนี้คือ “มันไม่เคยใช้เพลง Beatles เป็นของตั้งโชว์” แต่ตีความมันอย่างมีชีวิต มีความเจ็บปวด มีความหวัง มีรัก มีสงคราม… จนเพลงเก่าอายุครึ่งศตวรรษฟื้นคืนชีพอีกครั้งในบริบทใหม่อย่างทรงพลัง

ลิเวอร์พูล—นิวยอร์ก: แกนโลกหมุนด้วยเสียงดนตรี

เรื่องราวเริ่มต้นด้วยใบหน้าเศร้าสะอื้นของ Jude (Jim Sturgess) ขณะร้อง “Girl” ในท่อนเปิดเรื่องที่กล้องเลื่อนย้อนพาเราไปสู่ทศวรรษ 60’s โลกที่ยังเต็มไปด้วยคำว่าความฝัน การต่อสู้ และการตั้งคำถามกับทุกอย่างที่ถูกบอกให้เชื่อ ชื่อของเขา—Jude—เป็นสัญลักษณ์แรกที่หนังเปิดเผยต่อผู้ชมว่า “คุณกำลังเข้าสู่จักรวาลแห่ง Beatles แล้วนะ” เพราะเขาเป็นตัวแทนของ “Hey Jude” เพลงปลอบใจอันเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโต ความสูญเสีย และความเยียวยา

เมื่อ Jude เดินทางจากลิเวอร์พูลสู่สหรัฐอเมริกา เราได้พบ Max (Joe Anderson) ตัวแทนของ “Maxwell’s Silver Hammer”—ไม่ใช่เพราะถือค้อน แต่เพราะเขาคือตัวละครที่เหมือนแรงระเบิดเล็กๆ ที่พร้อมพังระบบคุณค่าเดิมของครอบครัวและสังคม ส่วน Lucy (Evan Rachel Wood) ผู้เป็นแสงสว่างในเรื่อง ชื่อของเธอเรียงตรงไปสู่ “Lucy in the Sky with Diamonds” โดยตรง แต่หนังของ Taymor ไม่เล่นมุก LSD แบบหยาบๆ เธอแทน “ความใสสว่างที่ถูกโลกกัดกร่อน” มากกว่า

ทั้งสามตัวละครสร้างแกนกลางของเรื่องราว: รัก มิตรภาพ และอุดมการณ์ ที่จะค่อยๆ สั่นคลอนเมื่อโลกภายนอกลุกเป็นไฟในสงครามเวียดนามและคลื่นปฏิวัติวัฒนธรรมของอเมริกา

Beatles ไม่ได้เป็นเพลง—แต่เป็นภาษาในการเล่าเรื่อง

สิ่งที่ทำให้ Across the Universe ยิ่งใหญ่กว่าการเป็น “มิวสิคัลประกอบเพลง Beatles” คือการที่หนังเลือกให้แต่ละเพลง “ตีความใหม่” เพื่อรับใช้ตัวละครและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ลำดับเพลงตามใจคนทำ

“Hold Me Tight” ถูกเปลี่ยนเป็น montage ของคู่รักสองชุดที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง—รักแบบอ่อนหวานในชานเมือง และรักแบบเร่าร้อนในคลับสกปรมของคนงาน—เพื่อบอกว่า “เพลงเดียวกัน อารมณ์คนละโลก” และเปิดประเด็นว่าความรักไม่ได้ตั้งอยู่บนความเสมอภาคในสังคมอเมริกา

“I Want to Hold Your Hand” ถูกพลิกจากเพลงรักวัยรุ่นให้กลายเป็นเพลงโหยหาของ Prudence (T.V. Carpio) เด็กสาวเลสเบี้ยนที่ซ่อนรักไว้เงียบๆ การตีความให้เพลงกลายเป็นเสียงสะท้อนความเจ็บของคนที่ไม่อาจรักอย่างเปิดเผยในยุค 60’s คือการใช้วัฒนธรรมป๊อปมาเป็นกระจกสะท้อนสังคมอย่างเฉียบคม และเป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกตีความใหม่ดีที่สุดเท่าที่วงการมิวสิคัลเคยผลิต

“Let It Be” ปรากฏขึ้นในฉากศพเด็กผิวดำในดีทรอยต์ที่เพิ่งสูญเสียพี่ชายในเหตุจลาจล เพลงปลอบใจจากยุคหลัง Beatles กลายเป็นบทสวดที่ฉีกหัวใจคนดู เปิดแผลสังคมอเมริกาที่ซ่อนอยู่ใต้พรมของ “ความศิวิไลซ์” ที่มันประกาศตัวเองเสมอ

เมื่อเพลงกลายเป็นภาพ: ความเป็น Julie Taymor

Julie Taymor (ผู้กำกับ Frida และผู้สร้างละครเวที The Lion King) นำภาษาภาพให้กลายเป็นคู่ขนานของดนตรีอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งงานออกแบบโปรดักชันจัดวางสี โทน และมโนภาพที่มาจากงานศิลปะป๊อปของยุค 60’s

“Strawberry Fields Forever” ถูกตีความเป็น art-piece ที่ใช้สตรอว์เบอร์รีเปื้อนเลือดแทนความสูญเสียจากสงคราม การที่ Jude นั่งปั้นสตรอว์เบอร์รีให้เต็มผนังเหมือนหัวใจที่ถูกแทงซ้ำๆ คือหนึ่งในฉากที่แฟน Beatles ต้องยกนิ้วว่า “นี่คือการอ่านตัวเพลงอย่างฉลาดที่สุดฉบับหนัง”

“Happiness Is a Warm Gun” ถูกนำไปผูกกับ PTSD ของ Max ที่กลับมาจากสงครามแล้วถูกล้อมด้วยพยาบาลรูปเดียวกันหลายสิบคนใน choreography แบบฝันร้าย เพลงที่เคยเป็นมุกประชดเรื่องศีลธรรมของอเมริกากลายเป็นบทกวีเวียนหัวของทหารที่สูญเสียตัวตน

ในขณะที่ “I Am the Walrus” และ “Being for the Benefit of Mr. Kite!” คือการปลดปล่อยความเหนือจริงที่ทำให้ Taymor เปิดกล่องเครื่องมือความอลังการทางภาพแบบเต็มกำลัง หนังถึงจุดที่เพลง Beatles ไม่ได้เป็นแค่เพลง แต่คือภาพวาดเหนือจริงที่เคลื่อนที่ได้

รักที่ไม่ใช่ความฝัน: Lucy & Jude ในจักรวาลที่แตกสลาย

แม้โลกที่หนังวาดจะเต็มไปด้วยจินตนาการ แต่ความรักของ Jude และ Lucy กลับยิ่งสมจริงด้วยเตารีดแห่งความโหดร้ายของประวัติศาสตร์ Lucy หันเข้าสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม จนค่อยๆ ไกลจาก Jude ที่ยังจับไม่ถนัดว่าควรต่อสู้เพื่ออะไร

เพลง “Revolution” ถูกใช้ในฉากที่ Jude ปะทะกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวหัวรุนแรง มันสื่อว่า Beatles เองก็ “ไม่เคยเชื่อในการต่อสู้แบบใช้ความรุนแรง” และ Jude ในเรื่องก็สะท้อนทัศนะเดียวกัน เขาเชื่อในการตั้งคำถาม แต่ไม่เชื่อในการระเบิดใส่ใคร สิ่งนี้ทำให้เนื้อหาสะท้อนยุค 60’s ได้ลึกซึ้งกว่าหนังสารคดีหลายเรื่องเสียอีก

ความรักของทั้งสองเดินทางไปจนถึง “Across the Universe”—เพลงที่ Jude ร้องบนดาดฟ้าในตอนท้ายเหมือนบทกวีประกาศอิสรภาพ “Jai Guru Deva Om” กลายเป็นคำภาวนาที่ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ยุคฮิปปี้ แต่คือการยอมรับโลกตามที่มันเป็น ความวุ่นวายที่ก็ยังงดงาม

ฉากบนดาดฟ้า: บทกวีที่ Beatles ไม่เคยทำ แต่หนังเรื่องนี้ทำแทน

ตอนจบของหนังคือหนึ่งในการคารวะ Beatles ที่งดงามที่สุด แม้ Beatles จะมี Rooftop Concert อันเป็นตำนาน แต่พวกเขาไม่เคยใช้ “ดาดฟ้า” เป็นฉากจบของเรื่องเล่ารักแบบภาพยนตร์มาก่อน — และ Across the Universe เลือกจะสร้างมันขึ้นมาแทน Jude ยืนอยู่บนยอดตึก ร้อง “All You Need Is Love” ข้ามฟากไปยัง Lucy ที่มองจากอีกด้านของเมือง นิวยอร์กทั้งเมืองเหมือนกำลังเงี่ยหูฟัง เพลงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสโลแกนของ Summer of Love ถูกเปลี่ยนเป็นคำถามว่า “ความรักยังพอจะเยียวยาโลกนี้ไหม?” หนังไม่ได้ตอบ แต่ส่งต่อความหวังแบบที่ Beatles เคยมอบให้โลกเสมอ

ชื่อที่ไม่ใช่แค่ชื่อ: ไข่ Easter Eggs แห่งจักรวาล Beatles ที่ซ่อนอยู่ใน Across the Universe

แม้ผู้ชมทั่วไปจะรู้สึกว่าชื่อตัวละครใน Across the Universe ฟัง “แปลก แต่ไพเราะ” ทว่าคนรัก Beatles รู้ทันทีว่านี่คือจักรวาลที่ถูกตั้งขึ้นบนรากฐานของเพลงทั้งมวลอย่างจงใจ ชื่อแต่ละชื่อเป็นเหมือนช่องทางลับเข้าสู่เพลงหนึ่ง เพลงสอง หรือบางครั้งคือทั้งอัลบั้ม ทั้งการกำเนิดและระเบียงลับที่หนังวางไว้ให้เนิร์ดค้นหา มาดูทีละชิ้นว่า Easter Eggs เหล่านี้งอกขึ้นจากตรงไหนบ้าง — และทำไมมันถึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่ามิวสิคัล แต่คือ “บทกวีลับในจักรวาล Beatles”

Jude แน่นอนที่สุดคือ “Hey Jude” ซิงเกิลปี 1968 ที่ Paul เขียนปลอบใจลูกชายของ John แต่ในหนัง Jude กลับเป็นตัวละครที่ลอยคอในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงและพยายามปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า การที่เขาเป็นศิลปินจากลิเวอร์พูลคือการผูกเขาเข้ากับบ้านเกิดของ Beatles โดยตรง

Lucy มาจาก “Lucy in the Sky with Diamonds” แห่ง Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band (1967) แต่ Julie Taymor ตั้งใจวางเธอเป็น “แสงสว่างในโลกที่มืดลง” มากกว่าจะโยนมุก LSD ตรงๆ อีกชั้นคือเธอเป็นแรงสั่นของขบวนการต่อต้านสงคราม เหมือนภาพ “เด็กหญิงในท้องฟ้าเหนือโลกที่กำลังลุกเป็นไฟ”

Max มาจาก “Maxwell’s Silver Hammer” ในอัลบั้ม Abbey Road (1969) เพลงประชดที่ใส่ความรุนแรงแบบการ์ตูนลงไปในจังหวะสดใส ในหนัง Max คือคนที่ชีวิตเขย่าไปมาระหว่างเสรีภาพ ความบ้าบิ่น และความรุนแรงของสงครามเวียดนาม จน “ค้อนเงิน” กลายเป็น PTSD ที่ตามหลอกหลอนแทน

Prudence ยืมมาจาก “Dear Prudence” ใน The White Album (1968) เพลงที่ John เขียนถึง Prudence Farrow ที่เก็บตัวไม่ออกจากห้องตอนปฏิบัติธรรมในอินเดีย — และหนังหยิบ Easter Egg นี้มาใช้แบบแสบๆ เมื่อ Prudence ในเรื่อง “เข้ามาทางหน้าต่าง” อย่างประหลาดใจ ซึ่งกลายเป็นการอ้างถึง “She Came In Through the Bathroom Window” จาก Abbey Road อีกที หมายถึงเธอคือคนที่โลกวางไว้นอกมาตรฐาน แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจและช่างสังเกตความงามรอบตัว

Sadie ได้แรงบันดาลใจจาก “Sexy Sadie” (The White Album, 1968) เพลงประชดของ John ที่ส่องแสงลึกลงไปในความหลอกลวงของอำนาจทางจิตวิญญาณ แต่ Sadie ในภาพยนตร์คือศิลปินหญิงผู้ทรงพลังที่หลอมความเจ็บปวดให้กลายเป็นเพลง เธอเดินข้ามจากภาพล้อเลียนในเพลง กลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปินที่ยืนหยัดท่ามกลางโลกดนตรียุค 60’s ที่ชายเป็นใหญ่

Jo-Jo คือการคารวะตรงๆ ต่อ “Get Back” ซิงเกิลปี 1969 ที่เปิดด้วยท่อน “Jojo was a man who thought he was a loner…” ตัวละครในหนังคือเสียงสะท้อนของนักดนตรีผิวดำหลังการจลาจลดีทรอยต์ เขาคือ embodiment ของจิตวิญญาณยุคที่ดนตรีโซลและร็อกเดินเคียงข้างการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่เชื่อมโลก Beatles เข้ากับบริบทสังคมอเมริกายุค 60’s ได้ลึกที่สุดตัวหนึ่ง

Mr. Kite (Dr. Robert และเขี้ยวเล็บเหนือจริงทั้งหลาย) เมื่อหนังเข้าสู่ช่วงหลอนเหนือจริง การอ้างอิงถึง “Being for the Benefit of Mr. Kite!” จาก Sgt. Pepper คือการเปิดโลกมายากลของ Beatles ให้หลุดเพดานออกมา ส่วน Dr. Robert (รับบทโดย Bono) คือการผสมระหว่าง Dr. Robert ในเพลงของอัลบั้ม Revolver (1966) กับไอคอนบุคคลจริงของยุคไซคีเดลิก เสมือนทัวร์ไกด์พาเราไหลเข้า LSD trip แบบชนิดที่ Beatles เองน่าจะยิ้มให้

Desmond และ Molly (cameo ในนามสัญลักษณ์) ในฉาก street-life ของนิวยอร์ก เราจะเห็นรายละเอียดเล็กๆ บางจุดที่อ้างถึง “Ob-La-Di, Ob-La-Da” จาก White Album — คู่รัก Desmond/Molly ที่ถูกวางเป็นภาพล้อเรื่องครอบครัวชนชั้นแรงงานในแบบเบาสมอง ราวกับบอกว่า “จักรวาลนี้เต็มไปด้วยชีวิตเล็กๆ ที่ Beatles เคยร้องถึงเสมอ”

ทั้งหมดนี้สร้างความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ “เอาเพลง Beatles มาใช้” แต่ “สร้างโลกที่ประชากรทุกคนเกิดมาจากบทเพลง” การตั้งชื่อไม่ใช่การตั้งชื่อ แต่เป็น DNA ที่บอกว่าตัวละครแต่ละคนถือสารทางวัฒนธรรมแบบไหนบ้าง และเป็นการยิ้มให้แฟน Beatles ว่า “ถ้าคุณเห็นนะ คุณจะยิ้ม แต่ถ้าคุณไม่เห็น หนังจะทำให้คุณเห็นได้อยู่ดี”

นี่คือความงดงามของ Across the Universe: ที่ซึ่งชื่อคนหนึ่ง คือเพลงหนึ่ง คือความทรงจำหนึ่ง คือจุดเล็กๆ ที่ทำให้จักรวาลนี้สมบูรณ์ขึ้นอย่างที่ไม่มีมิวสิคัลเรื่องใดเคยทำมาก่อน

Across the Universe: หนังที่ทำให้เพลงกลายเป็นจักรวาล และจักรวาลกลายเป็นเรา

ในท้ายที่สุด Across the Universe ไม่ใช่แค่หนังมิวสิคัล ไม่ใช่แค่หนังรัก และไม่ได้เป็นเพียงหนังรำลึก Beatles มันคือบทกวีภาพยนตร์ที่จับเอาทั้งวัฒนธรรมยุค 60’s—ความใฝ่ฝัน การลุกขึ้นสู้ ความสูญเสีย และความงดงามอันเปราะบาง—มาหลอมรวมกับเพลงระดับตำนาน จนเกิดเป็นจักรวาลที่ทั้งสั่นสะเทือนและอบอุ่นหัวใจในเวลาเดียวกัน

ผู้ชมที่ไม่ใช่แฟน Beatles จะค้นพบความมหัศจรรย์ของเพลงที่ยังเข้ายุคเข้ากาลเสมอ ผู้ชมที่เป็นแฟน Beatles จะรู้ว่า “เพลงที่เรารัก” ยังมีชีวิตใหม่ได้อีกหลายรูปแบบ และผู้ชมทุกคนจะพบว่าความรัก—แม้ถูกโลกบิดเบี้ยวแค่ไหน—ก็ยังเป็นพลังที่หมุนจักรวาลทั้งใบ

และนั่นคือเหตุผลที่ Across the Universe ไม่ได้เป็นเพียงหนัง แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้ว่า—รักนี้…คือทุกสิ่ง.

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole