มีเพลงบางเพลงที่ไม่ได้ดังเพราะถูกเปิดในคลื่นวิทยุ แต่ดังเพราะมันกระแทกใจคนที่หลับตาในค่ำคืนอ้างว้างและพบว่าความเงียบนั้นยังมีเสียงบางอย่างซ่อนอยู่ — “There Is a Light That Never Goes Out” คือเพลงแบบนั้น
เมื่อปี 1986 The Smiths ปล่อยอัลบั้ม The Queen Is Dead ซึ่งเป็นเหมือนสารภาพบาปของคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในอังกฤษหลังยุค Thatcher — เมืองแมนเชสเตอร์ในตอนนั้นเต็มไปด้วยความมืดมิด เศรษฐกิจถดถอย ผู้คนรู้สึกติดอยู่ในชีวิตที่ไร้ทางไป แต่ Morrissey และ Johnny Marr กลับสร้างบางสิ่งที่ตรงกันข้าม — เพลงที่พูดถึง “แสง” ที่ไม่เคยดับ แม้มันจะล้อมรอบด้วยความตายก็ตาม
เพลงนี้ไม่ได้เป็นแค่บทรักเศร้า แต่มันคือ “ความโรแมนติกในโลกที่พังทลาย” เสียงร้องของ Morrissey ที่ก้ำกึ่งระหว่างความสิ้นหวังและความหวัง ถูกห่อไว้ด้วยเมโลดี้กีตาร์ของ Johnny Marr ที่ทั้งอ่อนโยนและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เหมือนเสียงของรถที่แล่นผ่านถนนเปลี่ยวในคืนฝนพรำ — แสงไฟข้างทางพร่าเลือน แต่คนในรถกลับยิ้ม เพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยคืนนี้…มีใครบางคนอยู่ข้างๆ
เรื่องราวเบื้องหลัง: การหนีออกจากโลกที่ไม่เข้าใจ
Johnny Marr เคยเล่าว่า ทำนองเพลงนี้เกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่งตอนเขากำลังเล่นกีตาร์อยู่ในบ้านที่แมนเชสเตอร์ มันเริ่มจาก progression ที่ให้ความรู้สึกเศร้าแต่ค่อยๆ มีความเคลื่อนไหว เหมือนการเดินทางของหัวใจที่ยังไม่อยากหยุด ส่วน Morrissey เขียนเนื้อร้องที่เหมือนจดหมายของเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอยากจะหนีออกจากบ้าน ไปกับใครก็ได้ที่เข้าใจเขา

รถยนต์ในเพลงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ — มันคือเครื่องมือแห่งอิสรภาพ และในขณะเดียวกันก็เป็นพาหนะของความตาย เพราะเขาร้องว่า “And if a double-decker bus crashes into us, to die by your side is such a heavenly way to die” นั่นไม่ใช่แค่ความหลงใหลในความตาย แต่เป็น “ความรักที่ยอมให้ตายได้ ถ้าได้อยู่ด้วยกันในวินาทีสุดท้าย”
เพลงนี้สะท้อนหัวใจของวัยรุ่นที่รู้สึกโดดเดี่ยวจนคิดว่าไม่มีที่ไหนในโลกที่เป็นของเขา แต่ทันทีที่มีใครสักคนเข้าใจ แสงนั้นก็ปรากฏขึ้นในใจ — แสงที่ไม่มีวันดับ แม้ในความมืดที่สุดของชีวิต
ความหมายและสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่
“There is a light that never goes out” ไม่ได้หมายถึงหลอดไฟหรือแสงจริงๆ แต่มันคือสัญลักษณ์ของ “ความหวัง” และ “ความเข้าใจ” ที่ยังคงอยู่ในใจของคนแม้จะเจ็บปวดเพียงใด
Morrissey เขียนเพลงนี้ในยุคที่สังคมอังกฤษเต็มไปด้วยความกดดันทางชนชั้น ความสิ้นศรัทธา และการค้นหาตัวตน เขาใช้การ “ออกไปนั่งรถเล่นกับใครบางคน” เป็นอุปลักษณ์ของการหลบหนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริง — การได้อยู่กับคนที่เข้าใจเรานั้นเพียงพอจะทำให้ “ความตายดูอ่อนโยนลง”

แต่สิ่งที่ทำให้เพลงนี้กลายเป็นอมตะ คือความย้อนแย้งในใจมันเอง — ความตายและความรัก, ความหวังและความสิ้นหวัง, ความโดดเดี่ยวและการเชื่อมโยง ทุกอย่างถูกห่ออยู่ในเสียงร้องที่อ่อนไหวและเปราะบางของ Morrissey ที่เหมือนจะบอกว่า “ฉันไม่ได้อยากตาย…ฉันแค่อยากได้ชีวิตที่รู้สึกมีค่าเท่านั้น”
เสียงที่ไม่เคยดับจากยุค 80s
ในยุคที่เพลงป็อปส่วนใหญ่พูดถึงความรักที่สดใส “There Is a Light That Never Goes Out” กลับตรงข้าม มันคือการยอมรับว่าชีวิตนั้นเปล่าเปลี่ยว แต่ก็มีความงามในตัวเอง เสียงเครื่องสายที่ Johnny Marr เรียบเรียงด้วยซินธ์ให้ความรู้สึกเหมือนการโอบกอดของแสงในคืนที่มืดที่สุด มันอุ่นพอที่จะทำให้คนฟังรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิต

ทุกครั้งที่เสียงฮาร์โมเนียมขึ้นต้นเพลงดังขึ้น เราเหมือนกลับไปยังถนนที่ว่างเปล่าของแมนเชสเตอร์อีกครั้ง เห็นเงาของคู่รักหนุ่มสาวขับรถผ่านไฟถนน แล้วพูดกันว่า “อย่ากลับบ้านเลยนะ” เพราะข้างนอก แม้มันหนาว แต่ก็มีแสงบางอย่างที่ไม่มีวันดับ
ปัจฉิมบท: แสงที่ยังส่องในใจผู้ฟัง
สามสิบกว่าปีผ่านไป “There Is a Light That Never Goes Out” ยังคงเป็นเพลงที่ผู้คนเปิดฟังในคืนที่รู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด เพลงนี้ไม่ให้คำตอบ แต่มอบความรู้สึกว่า “คุณไม่ได้อยู่คนเดียว” — และนั่นแหละคือแสงที่ไม่เคยดับ
ในโลกที่เปลี่ยนไปทุกวัน เราอาจไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ทุกครั้งที่เสียงกีตาร์ของ Johnny Marr และเสียงร้องของ Morrissey ดังขึ้น แสงนั้นก็กลับมาส่องอีกครั้งในใจเรา — แสงที่บอกว่าแม้เราจะเจ็บปวด แต่เรายังรู้สึกได้ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต”
แปลเพลง There Is a Light That Never Goes Out
Take me out tonight | พาฉันออกไปคืนนี้เถอะ
Where there’s music and there’s people and they’re young and alive | ที่ซึ่งมีเสียงดนตรี มีผู้คน และชีวิตที่ยังสดใหม่
Driving in your car | ขับรถไปกับเธอ
I never, never want to go home | ฉันไม่อยากกลับบ้านอีกแล้ว
Because I haven’t got one anymore | เพราะที่นั่น…ไม่ใช่บ้านของฉันอีกต่อไป
Take me out tonight | พาฉันออกไปคืนนี้เถอะ
Because I want to see people and I want to see life | เพราะฉันอยากเห็นผู้คน อยากเห็นชีวิตจริงๆ
Driving in your car | ขับรถไปกับเธอ
Oh, please don’t drop me home | ได้โปรดอย่าพาฉันกลับบ้าน
Because it’s not my home, it’s their home | เพราะที่นั่นไม่ใช่ของฉัน มันเป็นของ “พวกเขา”
And I’m welcome no more | และฉันไม่เป็นที่ต้อนรับอีกแล้ว
And if a double-decker bus crashes into us | และถ้ารถสองชั้นพุ่งเข้าชนเรา
To die by your side | ได้ตายข้างเธอ
Is such a heavenly way to die | ก็เป็นการตายที่งดงามราวสวรรค์
And if a ten-ton truck kills the both of us | และถ้ารถบรรทุกหนักสิบตันบดขยี้เราทั้งคู่
To die by your side | ได้ตายข้างเธอ
Well, the pleasure, the privilege is mine | ความสุขและเกียรติที่ได้ตายข้างเธอนั้น เป็นของฉันเอง
Take me out tonight | พาฉันออกไปคืนนี้อีกครั้ง
Take me anywhere, I don’t care, I don’t care, I don’t care | พาฉันไปไหนก็ได้ ฉันไม่สนใจ ไม่สนใจเลย
And in the darkened underpass | และในอุโมงค์ที่มืดมิด
I thought, oh God, my chance has come at last | ฉันคิดว่า—พระเจ้า—โอกาสของฉันมาถึงแล้ว
But then a strange fear gripped me and I just couldn’t ask | แต่ความกลัวประหลาดบางอย่างกลับเข้าครอบงำ และฉันก็พูดไม่ออก
Take me out tonight | พาฉันออกไปคืนนี้เถอะ
Oh, take me anywhere, I don’t care, I don’t care, I don’t care | พาฉันไปไหนก็ได้ ฉันไม่แคร์เลย
Driving in your car | ขับรถไปกับเธอ
I never, never want to go home | ฉันไม่อยากกลับบ้านอีกแล้ว
Because I haven’t got one, no, I haven’t got one | เพราะฉันไม่มีมันอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว
And if a double-decker bus crashes into us | และถ้ารถสองชั้นพุ่งเข้าชนเรา
To die by your side | ได้ตายข้างเธอ
Is such a heavenly way to die | มันคงเป็นการตายที่งดงามเหลือเกิน
And if a ten-ton truck kills the both of us | และถ้ารถบรรทุกหนักสิบตันบดขยี้เราทั้งคู่
To die by your side | ได้ตายข้างเธอ
Well, the pleasure, the privilege is mine | ความสุขและเกียรติที่ได้ตายข้างเธอ เป็นของฉันเอง
Oh, there is a light that never goes out | มีแสงบางอย่างที่ไม่มีวันดับลง
There is a light that never goes out | แสงนั้นไม่มีวันดับลงเลย
There is a light that never goes out | มันยังส่องอยู่เสมอ
There is a light that never goes out | ไม่มีวันดับ ไม่มีวันเลย

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ



