Skip to content

[รีวิว] 28 Years Later : 28 ปีให้หลัง เชื้อเขมือบคน (2025) | แด่โลกที่เดินผ่านความกลัวมาจนกลายเป็นความเชื่อ

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

ยี่สิบแปดปีหลังจากเชื้อ Rage หลุดออกจากห้องทดลองและกลืนกินอังกฤษทั้งประเทศ Danny Boyle กลับมาพร้อม Alex Garland ในฐานะผู้ร่วมปลุกชีพโลกที่พวกเขาเคยสร้างไว้ แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อขยาย “จักรวาลซอมบี้” อีกตอน หากแต่เพื่อเผชิญหน้ากับ “ผลกระทบของเวลา” ที่กัดกร่อนมนุษย์มากกว่าเชื้อไวรัสใดๆ

จาก 28 วัน ถึง 28 ปี — การล่มสลายที่กลายเป็นประวัติศาสตร์

ภาคแรก 28 Days Later (2002) คือการระเบิดทางอารมณ์และสังคม ภาพของลอนดอนร้างผู้คน และชายชื่อ Jim (Cillian Murphy) ที่ตื่นจากโคม่าเข้าไปในโลกที่ไม่มีระเบียบเหลืออยู่เลย Danny Boyle สร้างบรรยากาศแห่งความโกรธ ความโดดเดี่ยว และความหวังอันเปราะบางขึ้นจากเศษซากของอารยธรรม

ต่อมาใน 28 Weeks Later (2007) หลังจากเชื้อไวรัส “Rage” ถูกกวาดล้างไป 28 สัปดาห์ อังกฤษเริ่มฟื้นฟูภายใต้การควบคุมของกองทัพ แต่ดอน ผู้รอดชีวิตคนหนึ่ง กลับนำไวรัสกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขาจูบภรรยาที่เป็นพาหะเชื้อโดยไม่รู้ตัว ไวรัสแพร่กระจายอีกครั้งจนลอนดอนกลายเป็นนรกซ้ำสอง ลูกทั้งสองของเขาหนีรอดออกจากเมืองได้ ทว่าฉากสุดท้ายเผยว่าเชื้อได้ลามถึงปารีส — และมนุษยชาติไม่อาจหนีความบาปของตนเองได้อีกต่อไป

และบัดนี้ 28 ปีผ่านไป โลกของ Danny Boyle กับ Alex Garland กลายเป็นเรื่องเล่าของคนรุ่นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ไวรัส” คืออะไร พวกเขาไม่สู้กับสิ่งติดเชื้ออีกต่อไป แต่สู้กับเรื่องเล่าที่บิดเบี้ยวซึ่งสืบทอดมาจากความกลัวในอดีต

เกาะที่ถูกแช่แข็งด้วยศรัทธา

ภาพยนตร์เปิดฉากบนเกาะห่างไกล ชุมชนเล็กๆ ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อว่า “ไวรัสยังอยู่ข้างนอก” เด็กหนุ่มจะต้องผ่านพิธีล่า infected เพื่อพิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่ พิธีนี้ไม่ได้เป็นแค่การล่า แต่คือการยืนยันความเชื่อที่ทุกคนยึดไว้จนกลายเป็นศาสนาแห่งความกลัว

เราพบ Jamie (Aaron Taylor-Johnson) ผู้พาลูกชาย Spike (Alfie Williams) ออกล่าครั้งแรก และ Isla (Jodie Comer) แม่ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายที่กลายเป็นแรงขับให้ครอบครัวนี้ต้องเดินทางข้ามทะเลเพื่อหาหมอ Dr. Ian Kelson (Ralph Fiennes) บนแผ่นดินใหญ่ — เส้นทางที่ค่อยๆ พาเรื่องเข้าสู่ความจริงอันสั่นสะเทือน

เมื่อเราคิดว่า “โลกภายนอก” ยังเป็นนรกไวรัสเช่นเดิม Danny Boyle ก็เปิดม่านจริงแท้ให้เห็นว่า ทุกอย่างที่อยู่บนเกาะนั้นคือ “การจำลอง” โลกที่หยุดเวลาไว้ เหมือนหมู่บ้านใน The Village ของ M. Night Shyamalan — และจังหวะที่ Spike ได้พบ Erik ทหารสวีเดน ซึ่งขับเรือมาตรวจการณ์จนเกิดอุบัติเหตุ จนได้ช่วยเหลือ Spike และแม่ และเมื่อ Erik โชว์ smartphone ให้ Spike ดู คือวินาทีที่โลกทั้งสองยุคชนกันอย่างแรงที่สุด

ข้างนอกเกาะนั้น โลกเดินต่อไปแล้ว เทคโนโลยีกลับมา ผู้คนใช้ชีวิตปกติ แต่บนเกาะนี้ พวกเขายังอยู่ในปีแห่งการระบาด ยังเชื่อว่าความรอดคือการกำจัด “คนติดเชื้อ” ที่ไม่มีอยู่จริงมานาน การพบกันระหว่าง Spike กับทหารนั้นจึงไม่ใช่แค่ช็อตหักมุม แต่คือคำถามเชิงปรัชญา — มนุษย์ต้องการ “ศัตรู” เพื่อคงตัวตนของตนเองไว้หรือไม่?

iPhone 15 Pro Max และสายตาที่คืนสู่ความดิบ

Danny Boyle เลือกถ่ายทั้งเรื่องด้วย iPhone 15 Pro Max — การตัดสินใจที่ทั้งเสี่ยงและกล้า ภาพของเรื่องจึงไม่ได้งดงามในแบบกล้องฟิล์มหรือ IMAX แต่กลับมีลมหายใจ “จริง” เหมือนบันทึกเหตุการณ์ แสงที่กระพริบจากหน้าจอและโฟกัสที่สั่นไหวเล็กน้อยกลับทำให้โลกของ 28 Years Later ดูเหมือนเกิดขึ้นจริงในวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่โลกสมมุติในภาพยนตร์

กล้องที่ถือด้วยมือให้ความรู้สึกใกล้ชิดและไม่มั่นคง เหมือนคนถือเองระหว่างหนีไวรัส Danny Boyle ไม่เพียงใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อโชว์แสนยานุภาพของสมาร์ทโฟน แต่ใช้มันเป็นภาษาภาพยนตร์ — ภาพที่สั่นเทา แสงหลุดโฟกัส และสีสันดิบๆ คือภาษาของความทรงจำที่ยังไม่สมบูรณ์

เด็กชาย Jimmy และการสืบทอดของศรัทธา

ในช่วงต้นเรื่อง เราเห็น “Jimmy” เด็กชายที่อยู่ในพิธีกรรมบนเกาะ และในช่วงท้ายจึงรู้ว่าเขาคือ Sir Jimmy Crystal (Jack O’Connell) ผู้นำลัทธิคนปัจจุบัน — การเชื่อมโยงนี้ทำให้เห็นวงจรของศรัทธาที่เกิดจากความกลัว เด็กชายผู้ครั้งหนึ่งถูกปลูกฝังให้เชื่อ เมื่อเติบโตขึ้น กลับกลายเป็นผู้ปกครองศรัทธานั้นต่อไป เขาไม่ได้ปกครองด้วยอำนาจ แต่ด้วยความกลัวว่าจะไม่มีสิ่งใดเหลือถ้าโลก “ปกติ” จริงๆ

ความผิดหวังและคำถามที่ยังค้าง

แม้โครงสร้างจะทะเยอทะยานและประเด็นจะลึก แต่ 28 Years Later กลับเดินช้าและหลวมในครึ่งหลัง เหมือน Danny Boyle ตั้งใจให้เป็นบทนำของ “ไตรภาคใหม่” มากกว่าภาคจบของเรื่องราวที่รอคอยกันสองทศวรรษ บางช่วงมีพลังเท่ากับภาคแรก แต่หลายช่วงเหมือนสูญแรงไปกับการแสดงความหมายเกินจำเป็น

อย่างไรก็ตาม ภาพสุดท้าย เมื่อ Spike วางกะโหลกแม่บนกองกระดูกแล้วมุ่งหน้าออกจากเกาะ ขณะที่กล้องไล่ตามขึ้นเหนือผิวน้ำจนเห็นแผ่นดินใหญ่ที่สว่างไสวด้วยแสงเมือง คือฉากที่สะเทือนใจและสรุปได้ครบกว่าคำพูดใด — โลกไม่ได้ตายจากไวรัส แต่มนุษย์บางส่วนเลือกจะตายอยู่กับมัน

สิ่งที่ Boyle และ Garland ต้องการสื่อ

หาก 28 Days Later คือหนังแห่งความหวาดกลัวในสังคม และ 28 Weeks Later คือหนังแห่งการเห็นแก่ตัวและการจัดการ 28 Years Later คือหนังแห่ง “ความทรงจำ” และ “ศรัทธา” มันตั้งคำถามว่า เมื่อความกลัวกลายเป็นศาสนา มนุษย์จะยอมสละความจริงเพื่อคงศรัทธานั้นไว้ไหม Danny Boyle ไม่ได้ทำหนังซอมบี้ แต่ทำหนังว่าด้วย การคงอยู่ของคำโกหกหมู่ที่เราเลือกจะเชื่อเพราะมันทำให้ชีวิตง่ายกว่า

โลกใน 28 Years Later จึงสะท้อนโลกปัจจุบันอย่างแสบสัน เราอาจไม่ได้กลัวไวรัสอีกต่อไป แต่เรายังกลัว “ข้อมูลที่ทำลายความเชื่อ” เหมือนชาวเกาะที่เลือกจะอยู่กับตำนาน แทนที่จะกลับไปอยู่กับความจริงที่อาจไม่สวยงาม

บทสรุป

28 Years Later ไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์ แต่มันคือหนังที่ “จำเป็นต้องมี” เพื่อให้แฟรนไชส์นี้เติบโตเป็นสิ่งอื่น Danny Boyle กับ Alex Garland ไม่ได้พยายามทำซ้ำความสำเร็จในอดีต แต่พยายามเผชิญหน้ากับมัน และกล้าถามคำถามที่อาจไม่มีคำตอบ เช่นเดียวกับโลกหลังไวรัส ที่ไม่รู้ว่าเรากำลังรอด หรือเพียงแค่หลงเชื่อว่ารอดแล้ว

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole