Skip to content

The Queen Is Dead : The Smiths | เพลงที่ลึกซึ้งกว่าชื่อเรื่อง

เวลาที่ใช้อ่าน : 3 นาที

เมื่อเอ่ยถึง “The Queen Is Dead” หลายคนอาจคิดไปถึงการโจมตีสถาบันกษัตริย์ หรือความรุนแรงทางการเมือง แต่สำหรับ The Smiths นี่ไม่ใช่แค่เพลงที่พูดถึงสถาบันหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งในแง่ตรงตัว แต่เป็นการสะท้อนความรู้สึก สิ้นหวัง, การต่อต้านสังคม, และความอัดอั้นของคนรุ่นใหม่ ผ่านเลนส์ของ Morrissey ที่มักจะมองโลกด้วยสายตาเฉียบขาดและเต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบดำมืด เพลงนี้เป็นเหมือน จดหมายเปิดผนึกแห่งความคับข้องใจ ของคนที่รู้สึกถูกขังอยู่ในระเบียบของสังคมที่เขาไม่เข้าใจ

ที่มาของเพลง: สะท้อนอารมณ์ของอังกฤษยุค 1980

เพลงนี้ออกมาในปี 1986 ซึ่งอังกฤษกำลังอยู่ในยุค Thatcherism – การเมืองที่เข้มงวด, ความเหลื่อมล้ำ, และการแบ่งชั้นสังคม Morrissey ใช้เพลงนี้เพื่อแสดงความไม่พอใจอย่างเป็นศิลปะ ไม่ใช่แค่การด่าใครสักคน แต่เป็น การจิกกัดสังคมอย่างชาญฉลาด เสียงกีต้าร์ของ Johnny Marr ที่แหลมคมและท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความโหยหวน ช่วยขับอารมณ์ของเพลงให้เป็น ทั้งการประณามและการไว้ทุกข์พร้อมกัน นอกจากนี้เพลงยังเต็มไปด้วยการเล่นคำและภาพลักษณ์เชิงสัญลักษณ์ ทำให้แม้หลายสิบปีผ่านไป เพลงยังคง ทรงพลังและมีชีวิต

ความหมายของเพลง: การล้อเลียน, การต่อต้าน และการตายของการศรัทธา

เนื้อเพลงเป็นการ ล้อเลียนสถาบันและความเชื่อแบบเก่า ผ่านมุมมองของผู้ฟังที่รู้สึกว่า “สังคมไม่ได้ให้ทางเลือกที่แท้จริง” Morrissey ใช้น้ำเสียงเย้ยหยันแต่ไม่เคยสูญเสียความละเอียดอ่อน การประกอบกันของท่วงทำนองและเนื้อหา ทำให้เพลงนี้กลายเป็น บทกวีที่มีชีวิต เพลงพูดถึงความตายของความเชื่อมั่นแบบเก่าและความปรารถนาให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แม้จะเต็มไปด้วยความขบถ แต่ก็ไม่ทิ้งความงามของดนตรีและความอ่อนไหว

“The Queen Is Dead” จึงไม่ใช่เพลงต่อต้านกษัตริย์โดยตรง แต่เป็น พิธีศพของอุดมการณ์อังกฤษยุคหลังอาณานิคม — ที่ศาสนา, สื่อ, และชนชั้นสูงยังเกาะอยู่บนหอคอยงาช้าง ขณะที่คนหนุ่มสาวต้องเดินผ่านผับที่ทำลายชีวิตกับโบสถ์ที่ดูดเงินในโลกที่ไม่มีที่พึ่ง

เพลงนี้คือการตะโกนของผู้ชายที่อยากจะรักโลกแต่ถูกโลกผลักให้ขมขื่น มันคือ การประกาศอิสรภาพในวันที่ไม่มีใครเหลือให้ยึด และในที่สุด — ก็เหลือเพียงเสียงสุดท้ายที่กระซิบว่า

“Life is very long when you’re lonely.”

แปลเนื้อเพลง The Queen Is Dead

[Intro]

“Oh, take me back to dear old Blighty | “พาฉันกลับไปยังเกาะอังกฤษอันแสนรักของฉันหน่อย
Put me on the train for London Town | เอาฉันขึ้นรถไฟไปลอนดอนก็ได้
Take me anywhere, drop me anywhere | จะพาฉันไปที่ไหนก็ได้ หรือทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้
In Liverpool, Leeds or Birmingham, but I don’t care | ที่ลิเวอร์พูล ลีดส์ หรือเบอร์มิงแฮม — ฉันไม่แคร์หรอก
I should like to see—” | ขอแค่ได้เห็น…”

(เสียงขาดหาย ก่อนกลองระเบิดขึ้นเหมือนคำประกาศกบฏ)

[Verse 1]

(I don’t bless them) | (ฉันไม่อวยพรพวกนั้นหรอก)
Farewell to this land’s cheerless marshes | ลาก่อน แผ่นดินแห่งบึงเฉอะแฉะไร้ความรื่นรมย์
Hemmed in like a boar between archers | ถูกล้อมเหมือนหมูป่าที่โดนล่าด้วยลูกธนูรอบด้าน
Her very lowness with her head in a sling | ความตกต่ำของเธอ… หัวถูกพันไว้เหมือนคนบาดเจ็บ
I’m truly sorry, but it sounds like a wonderful thing | ฉันก็เสียใจนะ — แต่ฟังดูแล้ว มันช่างน่าพิศวงเสียเหลือเกิน
I say, Charles, don’t you ever crave | เฮ้ ชาลส์ นายไม่เคยใฝ่ฝันบ้างเหรอ
To appear on the front of the Daily Mail | ว่าจะได้ขึ้นหน้าหนึ่งของ Daily Mail
Dressed in your mother’s bridal veil? | ในชุดเจ้าสาวของแม่ตัวเองน่ะ?
(Oh-oh-oh-oh, oh-oh-oh-oh, oh-oh) | (โอ-โอ-โอ-โอ… เสียงเย้ยหยันดังก้องไปกับกีต้าร์)

💬 ภาพของเจ้าฟ้าชายชาลส์ที่ถูกเอ่ยถึงอย่างประชดประชัน — Morrissey กำลังเหน็บอำนาจที่ดูเคร่งขรึมให้กลายเป็นเรื่องขบขันราวละครเวทีแห่งชนชั้นสูง

[Verse 2]

And so I checked all the registered historical facts | ฉันลองไปค้นประวัติศาสตร์ในทะเบียนบันทึกอย่างเป็นทางการ
And I was shocked into shame to discover | แล้วฉันก็แทบอายตาย เมื่อรู้ว่า…
How I’m the eighteenth pale descendent | ฉันเป็นทายาทรุ่นที่สิบแปด — หน้าซีดไร้สีเลือด
Of some old queen or other | ของราชินีแก่ๆ สักคนในอดีตนั่นแหละ
Oh, has the world changed or have I changed? | โลกเปลี่ยนไป… หรือฉันเองที่เปลี่ยน?
Oh, has the world changed or have I changed? | โลกเปลี่ยนไป… หรือฉันเองที่เปลี่ยนกันแน่?
Some nine year old tough who peddles drugs | เด็กเก้าขวบขายยาในตรอกแคบ
I swear to God, I swear I never even knew what drugs were | สาบานต่อพระเจ้า — ฉันเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ายาคืออะไร
(Oh-oh-oh-oh, oh-oh-oh-oh, oh-oh) | (โอ-โอ-โอ-โอ… ความสิ้นศรัทธาไหลบ่ามาแทนเสียงสวด)

💬 ท่อนนี้คือเสียงประชดของคนอังกฤษยุคเสื่อม — ลูกหลานของจักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลือแต่เงาในกระจก ขณะที่โลกจริงกลับเต็มไปด้วยเด็กขายยาและคนสิ้นศักดิ์ศรี

[Verse 3]

So I broke into the Palace | ฉันเลยบุกเข้าไปในพระราชวัง
With a sponge and a rusty spanner | ถือแค่ฟองน้ำกับประแจขึ้นสนิม
She said, “‘Ey, I know you, and you cannot sing” | เธอบอกว่า “เฮ้ ฉันรู้จักเธอ—เธอน่ะร้องเพลงไม่ได้เรื่องเลย”
I said, “That’s nothing, you should hear me play piano” | ฉันตอบ “นั่นยังไม่เท่าไหร่ ลองฟังฉันเล่นเปียโนดูก่อนสิ”
We can go for a walk where it’s quiet and dry | เราอาจออกไปเดินเล่นที่เงียบสงบและไม่เปียกฝน
And talk about precious things | แล้วพูดคุยเรื่องสำคัญของชีวิต
But when you are tied to your mother’s apron | แต่เมื่อติดอยู่ใต้ผ้ากันเปื้อนของแม่
No one talks about castration | ก็ไม่มีใครพูดถึง “การตัดอำนาจ” หรอกนะ
(Oh-oh-oh-oh, oh-oh-oh-oh, oh) | (โอ-โอ-โอ-โอ… คำประชดแหลมเหมือนมีดโกน)

💬 การบุกวังของ Morrissey คือภาพเปรียบเปรยถึงการบุกรุกอาณาจักรแห่งขนบธรรมเนียม เขากำลังพูดถึงการไม่กล้าหลุดจาก “แม่” — ทั้งในเชิงครอบครัวและชาติที่เลี้ยงดูเราด้วยกรอบคิดเก่าๆ

[Verse 4]

We can go for a walk where it’s quiet and dry | เราอาจเดินไปในที่เงียบสงบและไม่เปียกฝน
And talk about precious things | พูดถึงเรื่องที่มีค่าจริงๆ
Like love and law and poverty, oh-oh-oh, oh-oh-oh | อย่างเรื่องรัก เรื่องกฎหมาย และความจน — โอ โอ โอ
(These are the things that kill me) | (เรื่องพวกนี้แหละ ที่ฆ่าฉันทุกวัน)
We can go for a walk where it’s quiet and dry | เราอาจเดินไปที่เงียบและไม่เปียกฝน
And talk about precious things | คุยกันถึงสิ่งล้ำค่า
But the rain that flattens my hair, oh-oh-oh | แต่ฝนที่ตกจนผมฉันลีบแบน — โอ โอ โอ
(These are the things that kill me) | (เรื่องเล็กๆ นี่แหละ ที่ฆ่าฉันอยู่ทุกวัน)
All their lies about makeup and long hair are still there | คำลวงทั้งหลายเรื่องเครื่องสำอางและผมยาว… ยังไม่หายไปไหนเลย

💬 นี่คือ Morrissey ในรูปแบบบริสุทธิ์ที่สุด — เปราะบางและประชดพร้อมกัน เสียดสีความหมกมุ่นของสังคมกับภาพลักษณ์และกฎระเบียบที่ทำให้คนจริงๆ ต้องเจ็บปวด

[Verse 5]

Past the pub that saps your body | เดินผ่านผับที่ดูดเอาเรี่ยวแรงของเธอ
And the church who’ll snatch your money | และโบสถ์ที่คอยขโมยเงินบริจาคของเธอ
The Queen is dead, boys | พระราชินีสิ้นพระชนม์แล้ว พวกเราเอ๋ย
And it’s so lonely on a limb | และมันช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน บนกิ่งไม้ที่แยกออกมาจากลำต้น
Pass the pub that wrecks your body | เดินผ่านผับที่ทำลายร่างของเธอ
And the church, all they want is your money | และโบสถ์ — สิ่งเดียวที่มันอยากได้คือเงินของเธอ
The Queen is dead, boys | พระราชินีสิ้นพระชนม์แล้ว พวกเราเอ๋ย
And it’s so lonely on a limb | และมันช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน บนกิ่งไม้ที่กำลังจะหัก

💬 “The Queen is dead” ในที่นี้คือการตายของระบบเก่าทั้งหมด — ทั้งศาสนา รัฐ และศีลธรรมจอมปลอม Morrissey พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวนักบวชผู้ประกาศพิธีศพของโลกเดิม

[Outro]

Life is very long when you’re lonely | ชีวิตมันยาวนานเหลือเกิน… เมื่อเธออยู่ลำพัง
Life is very long when you’re lonely | ชีวิตมันยาว… อย่างน่าทรมาน
Life is very long when you’re lonely | ชีวิตมันยืดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
Life is very long when you’re lonely | เมื่อเธออยู่คนเดียว — ทุกนาทีคือชั่วนิรันดร์

💬 จบลงด้วยความว่างเปล่า — Morrissey ปิดฉากเพลงอย่างคนที่หัวเราะไม่ออกในโลกที่เขาเพิ่งประกาศ “ความตายของราชินี” ไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับความโดดเดี่ยวที่เหลืออยู่

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole