หากจะมีภาพยนตร์ไทยหรือต่างประเทศสักเรื่องที่เดินเข้าสู่สนามทดสอบของ genre cinema ในเอเชียและพร้อมจะ “ทำให้คนดูต้องอ้าปากค้างด้วยพลังของความวิปริต” ก็คงหนีไม่พ้น Organ Child ชื่อไทย อวัยวะเถื่อน (器子) ผลงานที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดจากไต้หวัน ซึ่งเลือกเล่าเรื่องราวของ “ลูกที่ถูกลดทอนให้เป็นเพียงอวัยวะสำรอง” ด้วยวิธีการทั้งตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยบรรยากาศของครอบครัวธรรมดาที่ค่อย ๆ เปิดเผยด้านมืดของสังคมใต้ดิน—ตลาดอวัยวะที่แลกเปลี่ยนชีวิตเด็ก ๆ ราวกับสินค้า การที่ลูกสาวของตัวละครเอกถูกพรากไป กลายเป็นจุดตั้งต้นของการเดินทางเข้าสู่ความรุนแรงแบบไร้ขีดจำกัด หนังไม่อ้อมค้อมที่จะวางผู้ชมไว้ท่ามกลางภาพของการทรมาน—ตั้งแต่การใช้ตะปูเจาะหัว จนถึงถุงพลาสติกที่ห่อหุ้มลมหายใจ—ราวกับต้องการยืนยันว่าความโหดเหี้ยมในโลกจริงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในข่าว แต่สามารถบรรจุลงในบทกวีภาพยนตร์ที่ทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วยเลือด

สิ่งที่ทำให้ Organ Child มีความน่าสนใจคือมันมี “โครงสร้างดราม่า” ที่ชัดเจนและทรงพลัง: พ่อที่สูญเสียลูกสาววัยทารกจนถูกบีบให้กลายเป็นปีศาจร้าย, เด็กที่ถูกทำให้เป็นเพียงสินค้า, และการหักมุมที่ย้อนถามว่า “ใครกันแน่คือตัวแทนของอวัยวะเถื่อนนี้ (器子)—ลูกที่ถูกยึดครองอวัยวะ หรือพ่อที่ถูกพันธนาการด้วยความรักที่กลายเป็นการทำลาย?” นี่คือแก่นเรื่องที่แข็งแรงเพียงพอจะทำให้หนังเป็น modern tragedy ได้โดยสมบูรณ์
แต่ปัญหาที่ทำให้ Organ Child กลายเป็นการถกเถียงอย่างกว้างขวางก็คือ “วิธีการเล่าเรื่อง” ที่มักจะกระโดดข้ามและทิ้งร่องรอยเหมือนเศษซากมากกว่าจะสานต่อเป็นเส้นทาง เรื่องราวบางช่วงเหมือนถูกเล่าด้วยเจตนาให้คนดู “เข้าใจเอง” มากเกินไปจนกลายเป็นไม่เชื่อมโยงความรู้สึกได้เพียงพอระหว่างผู้ชมกับตัวละคร หลายฉากถูกวิจารณ์ว่าตัดทอนแบบไม่จำเป็น ทำให้แรงสะเทือนทางอารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่บทตั้งต้นชี้ชัดแล้วว่าความเข้มข้นสามารถผลักไปได้ไกลกว่านี้

ตรงนี้เองที่ความรู้สึกส่วนตัวของผมก้องอยู่ตลอดขณะดู Organ Child—ว่า “โครงเรื่องมันดีแล้ว แต่การเล่าเรื่องกลับไม่อุ้มมันไปให้ถึงจุดสูงสุด” เหมือนบ้านที่มีโครงสร้างเหล็กแข็งแรงแต่สถาปนิกเลือกปิดฝาผนังด้วยวัสดุที่เบาบาง ทำให้แรงลมแห่งความโกรธและความสูญเสียพัดผ่านจนเราได้ยินเสียง แต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเต็ม ๆ
อย่างไรก็ตาม หากจะมองอีกมุมหนึ่ง ความไม่สมบูรณ์ในการเล่านี้กลับทำให้หนังมีมิติที่ “น่าหงุดหงิดแบบจำได้” ผู้ชมบางส่วนรู้สึกถูกหักหลังเพราะต้องการเห็นความบรรลุของโครงเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่บางส่วนกลับมองว่าความไม่ต่อเนื่องนั้นสะท้อนความกระจัดกระจายของความเจ็บปวด—พ่อที่ไม่อาจเยียวยา, เด็กที่ไม่อาจมีเสียง, และสังคมที่ไม่อาจสมานแผล

เมื่อมองภาพรวม Organ Child จึงเป็นเสมือนภาพยนตร์ที่ผลักดันวงการหนังไต้หวันไปสู่สนามใหม่—มันกล้าเล่นกับ extreme cinema และสัญลักษณ์ทางการเมืองเรื่อง “ร่างกายเป็นทรัพย์สิน” แต่ขณะเดียวกันก็สะดุดล้มด้วยภาษาหนังที่ไม่แนบเนียนพอ สิ่งนี้เองที่ทำให้มันเป็นงานที่ถูกพูดถึงมากกว่างานที่ถูกยกย่อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือหนึ่งในประสบการณ์ภาพยนตร์ที่ผู้ชมจะไม่มีวันลืม
และบางทีนี่แหละ—คือความจริงของหนังเรื่องนี้—ว่ามันทำให้เรายังคงถกเถียง, โกรธ, หงุดหงิด, และยังไม่วางมันทิ้งไปง่าย ๆ ซึ่งก็คือพลังของมันเอง

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ