Skip to content

[รีวิว] The Equalizer 2 : มัจจุราชไร้เงา 2 (2018) | เงาของความยุติธรรมที่เริ่มมัวหม่น

เวลาที่ใช้อ่าน : 2 นาที

The Equalizer 2 – มัจจุราชไร้เงา 2” (2018) เป็นการกลับมาของ โรเบิร์ต แม็คคอล (Denzel Washington) ฮีโร่ผู้เงียบขรึมที่ใช้ความสามารถพิเศษของเขาเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับผู้คนตัวเล็กๆ ในสังคม โดยเป็นภาคต่อที่หลายคนตั้งตารอ เพราะภาคแรกในปี 2014 ได้สร้างความประทับใจอย่างสูงทั้งในด้านความเข้มข้น สไตล์การเล่าเรื่องที่ชัดเจน และการแสดงที่ทรงพลังของเดนเซล ภาคสองจึงเหมือนบททดสอบว่าแฟรนไชส์นี้จะไปต่อในทิศทางไหน จะสืบสานความดิบเถื่อนและความหมายที่จับใจแบบเดิม หรือจะสะดุดล้มด้วยการขยายเรื่องราวเกินกว่าที่ฐานรากของมันรับได้

สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาคนี้คือครั้งแรกที่เดนเซล วอชิงตันยอมกลับมารับบท “ภาคต่อ” ของตัวเองในประวัติการแสดง นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อมั่นในโครงการนี้อย่างแท้จริง แต่คำถามที่ต้องถามคือ ความเชื่อนั้นยังคงส่งพลังต่อผู้ชมเช่นเดียวกับภาคแรกหรือไม่?

การเปลี่ยนโทน: จากความเข้มข้นสู่ความซับซ้อนที่ไม่เสมอไปว่าจะลงตัว

ในภาคแรก The Equalizer (2014) โทนเรื่องมีความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: ชายผู้มีอดีตลึกลับใช้ฝีมือเพื่อช่วยหญิงสาวและจัดการกลุ่มอาชญากรด้วยวิธีโหดเหี้ยม สารตั้งต้นชัดเจน การดำเนินเรื่องมีจุดหมาย และการเล่าเต็มไปด้วยจังหวะที่แม่นยำเหมือนเข็มนาฬิกา

แต่ใน The Equalizer 2 ผู้กำกับ Antoine Fuqua เลือกจะเปลี่ยนทิศทางให้เรื่องราวลึกซึ้งขึ้น พยายามสำรวจชีวิตส่วนตัวของแม็คคอลมากขึ้น เราจะเห็นเขาไม่ใช่แค่ “นักฆ่าที่กลับตัว” แต่ยังเป็นเพื่อนบ้าน คนขับรถแท็กซี่ ผู้ฟังความทุกข์ของผู้โดยสาร และที่สำคัญคือชายผู้พยายามตามหาความหมายของความยุติธรรมในโลกที่แหลกสลาย โครงสร้างเช่นนี้ช่วยขยายมิติของตัวละคร แต่ก็ทำให้หนังสูญเสียพลังขับเคลื่อนแบบ “ตรงไปตรงมา” ที่ภาคแรกทำได้ดี

ผลลัพธ์คือแทนที่ผู้ชมจะได้ดื่มด่ำไปกับความเข้มข้นต่อเนื่อง เรากลับต้องเผชิญกับการเล่าเรื่องที่แยกเป็นเส้นย่อยหลายสาย บางเส้นน่าสนใจ บางเส้นกลับทำให้จังหวะหนังเนือยช้าลง

ความสัมพันธ์และการสูญเสีย: จุดที่ทำให้แม็คคอลเป็นมนุษย์มากขึ้น

หัวใจสำคัญของภาคนี้คือการตายของเพื่อนเก่า ซูซาน (Melissa Leo) ผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์เก่าที่แม็คคอลยังยึดถืออยู่ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงเป็นชนวนให้เขาต้องออกตามล่า แต่ยังทำให้ผู้ชมได้เห็นด้านเปราะบางของชายผู้แข็งแกร่ง แม็คคอลไม่ได้ลุกขึ้นมาเพราะ “ภารกิจฮีโร่” หากแต่เพราะความโกรธ ความเจ็บปวด และความรู้สึกถูกหักหลัง

อีกเส้นเรื่องหนึ่งคือความสัมพันธ์ของเขากับเด็กหนุ่มเพื่อนบ้าน ไมล์ส (Ashton Sanders) ที่เหมือนภาพสะท้อนของอนาคตที่แม็คคอลไม่อยากให้ใครต้องเดินซ้ำรอยเส้นทางมืดของตัวเอง ฉากการสั่งสอน พูดคุย และการช่วยดึงไมล์สออกจากแก๊งค์ เป็นเส้นเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยมิติทางศีลธรรม แม้จะทำให้หนังช้าลง แต่ก็เติมน้ำหนักเชิงอารมณ์และตีความได้ว่า Equalizer ไม่ใช่เพียงการแก้แค้น หากแต่เป็น “บทเรียนชีวิต” ที่แม็คคอลส่งต่อให้คนรุ่นหลัง

ฉากแอ็กชัน: ความดิบที่ยังคงอยู่ แต่ไม่สดใหม่เหมือนเดิม

หากภาคแรกสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการจัดการศัตรูอย่างพิถีพิถันเหมือนนักฆ่าผู้ใช้สมอง ภาคสองก็ยังคงเอกลักษณ์นี้อยู่ แต่การออกแบบฉากต่อสู้และการฆ่ากลับไม่โดดเด่นหรือสร้างความประหลาดใจแบบที่เคยทำไว้ การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายท่ามกลางพายุเฮอริเคนเป็นไอเดียที่น่าสนใจ แต่กลับขาดความกระชับและพลังอารมณ์ เมื่อเทียบกับฉากโหดในร้านฮาร์ดแวร์ของภาคแรก

ที่สำคัญคือ การใช้กลยุทธ์ในการ “กะเวลา” หรือ “คิดล่วงหน้า” ของแม็คคอล ซึ่งเป็นเสน่ห์เด่นในภาคแรก กลับถูกลดทอนลง ทำให้ภาคนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแอ็กชันธรรมดามากขึ้น มากกว่าจะเป็นการโชว์สมองและไหวพริบ

ทำไมคะแนนวิจารณ์จึงตกลง?

เมื่อเปรียบเทียบกับภาคแรก เราจะเห็นชัดว่าภาคสองพยายาม “ขยาย” โลกของแม็คคอล แต่กลับแลกมาด้วยการสูญเสียความเข้มที่ทำให้เรื่องดึงดูดผู้ชม ภาคแรกถูกยกย่องเพราะความตรงไปตรงมา ความโหดแบบคมชัด และการที่ทุกองค์ประกอบสอดรับกันเหมือนกลไกนาฬิกาที่ไม่ผิดเพี้ยน ในขณะที่ภาคสองแม้จะลึกขึ้นทางอารมณ์ แต่กลับเล่าแบบกระจัดกระจายจนผู้ชมจำนวนมากรู้สึกว่าน่าเบื่อหรือยืดเยื้อ

นักวิจารณ์หลายคนมองว่า The Equalizer 2 พยายามเป็นมากกว่าหนังบู๊ แต่ไม่สามารถหาสมดุลระหว่างดราม่าและแอ็กชันได้ลงตัวพอ จึงทำให้คะแนนรีวิวตกลงเมื่อเทียบกับภาคแรก

สรุป: เงาที่เลือนราง แต่ยังมีความหมาย

The Equalizer 2 อาจไม่สามารถสานต่อความประทับใจแบบไร้ที่ติของภาคแรกได้ มันคือหนังที่พยายามจะเล่าเรื่องราวความเป็นมนุษย์ ความเปราะบาง และการแสวงหาความหมายในชีวิตของโรเบิร์ต แม็คคอล แต่การเล่าที่ซับซ้อนเกินไปกลับลดทอนพลังของฉากแอ็กชันลง ผลคือหนังถูกวิจารณ์ว่าดร็อปลง

อย่างไรก็ตาม นี่คือภาคต่อที่ยังคงคุณค่าบางอย่างไว้ได้ โดยเฉพาะการตีความ “ความยุติธรรม” ไม่ใช่แค่การกำจัดคนเลว แต่คือการยื่นมือช่วยเหลือคนที่ยังพอมีหวัง และนั่นทำให้ The Equalizer 2 แม้จะไม่เข้มข้นดั่งเดิม แต่ก็ยังเป็นบทบันทึกทางศีลธรรมของชายผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดได้อย่างน่าคิด

แสดงความคิดเห็น : Kitchen Rai

Your email address will not be published. Required fields are marked *


Optimized by Optimole