มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่เมื่อเวลาผ่านไปนานเป็นสิบปีแล้วเรากลับหยิบมันขึ้นมาดูซ้ำได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ Shooter (2007) คือหนึ่งในนั้น—ไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่จัดจังหวะการเล่าเรื่องได้เฉียบคม หรือเพราะมีฉากสไนเปอร์อันตราตรึงที่คนรักหนังแนวทหารต้องยกนิ้วให้ แต่เพราะมันเป็นหนังที่ยิงคำถามแรง ๆ ไปยัง “สถาบันอำนาจ” และ “ความจริงที่ถูกบิดเบือน” ในแบบที่วันนี้ยิ่งดูยิ่งเข้ากับโลกที่เราอยู่

เรื่องราวของบ็อบ ลี สแวกเกอร์ (Mark Wahlberg) อดีตพลซุ่มยิงฝีมือพระกาฬที่ถูกหักหลังและกลายเป็นแพะรับบาปในแผนลอบสังหารประธานาธิบดี เป็นโครงสร้างการเล่าที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่สิ่งที่ Shooter ทำได้เหนือกว่าคือการถักทอ “ความไม่ไว้ใจ” เข้ากับทุกเฟรมของหนัง ความไม่ไว้ใจในรัฐบาล ในกองทัพ และแม้แต่ในระบบยุติธรรมที่ควรจะปกป้องประชาชน แต่กลับเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ จ่าสแวกเกอร์จึงไม่ใช่แค่ตัวละครพระเอกในหนังแอ็กชัน แต่เขาคือภาพแทนของผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกทำให้กลายเป็นศัตรูเพียงเพราะเขารู้มากเกินไป

ฉากแอ็กชันใน Shooter จึงไม่ใช่การระเบิดตูมตามอย่างไร้สาระ แต่คือการต่อสู้เชิงกลยุทธ์ที่อัดแน่นด้วยรายละเอียด ตั้งแต่การคำนวณทิศทางลม มุมยิง ไปจนถึงการดัดแปลงอุปกรณ์ธรรมดาให้กลายเป็นอาวุธ หรือที่แฟนหนังพูดกันติดปากว่า “นี่คือคัมภีร์สไนเปอร์ในรูปแบบภาพยนตร์” ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด การยิงกระสุนแต่ละนัดก็เหมือนการเปิดโปงความจริงที่ซ่อนอยู่ และทุกครั้งที่กระสุนลั่นออกไป มันไม่ใช่เพียงเสียงปืน แต่คือเสียงของความยุติธรรมที่พยายามทะลุทะลวงกำแพงโกหก
สิ่งที่ทำให้ Shooter ยังดูสนุกเสมอแม้เราจะรู้ตอนจบแล้ว ก็คือจังหวะการเล่าที่ไม่ปล่อยให้คนดูหายใจหายคอ การถูกไล่ล่าและการต้องไล่ล่ากลับถูกผูกเป็นวงจรเดียวกัน เราจึงดูจ่าสแวกเกอร์หนี แต่ขณะเดียวกันก็กำลังรอว่าเขาจะกลับมา “ล่า” อย่างไร หนังไม่ยอมให้เรานั่งสบายบนเก้าอี้ แต่พาเราเข้าไปอยู่ในป่าลึก บนภูเขาสูง หรือในเมืองที่เต็มไปด้วยสายตาที่ไม่อาจไว้ใจ

Mark Wahlberg รับบทได้อย่างน่าทึ่ง เขาไม่ใช่ฮีโร่ที่เก่งเกินจริง แต่คือชายที่มีบาดแผลทั้งกายและใจ เราเชื่อว่าเขาเป็นอดีตสไนเปอร์ที่ผ่านสงครามมา และที่สำคัญคือเราสัมผัสได้ถึง “ความโดดเดี่ยว” ที่กัดกินอยู่ภายใน บทบาทนี้จึงไม่ได้ขายกล้ามโตๆ หรือสเตตัสทหารเท่ ๆ แต่คือการแบกโลกอันเน่าเฟะไว้บนบ่า และเลือกจะสู้เพราะถ้าไม่สู้ เขาก็จะถูกกลืนไปพร้อมความจริง
ทุกครั้งที่ดู Shooter ใหม่ เรามักพบว่ามีบางฉากที่ “พูดกับยุคสมัยปัจจุบัน” อย่างน่าประหลาด ความจริงที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้มีอำนาจยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเรา การสร้างแพะรับบาปยังคงเป็นกลไกเก่าแก่ที่ใช้งานได้เสมอ และความยุติธรรมก็ยังถูกตั้งคำถามว่าเป็นของใครกันแน่ หนังจึงไม่เคยเก่า เพราะมันไม่เคยพูดถึงอดีต แต่พูดถึงปัจจุบันที่ไม่มีวันจบ

ดังนั้น Shooter ไม่ได้เป็นเพียงหนังยิงกันสนุก ๆ ที่เราหยิบมาดูฆ่าเวลา แต่มันคือหนังที่ยิ่งดูซ้ำ ยิ่งเหมือนโดนกระสุนคำถามฝังเข้าไปในใจเรา กระสุนที่ไม่เคยถูกดึงออก และไม่เคยหยุดสร้างความเจ็บปวดว่า สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่ถือปืนตัวจริงในโลกนี้—พลซุ่มยิงผู้ถูกหักหลัง หรือผู้มีอำนาจที่ไม่เคยต้องเล็ง
โลกไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ใช่ไหมล่ะ จ่า

อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ