เริ่มต้นด้วยเงินแค่สี่สิบดอลลาร์ นั่นคือสิ่งเดียวที่เจไนยาห์ วิลท์คินสันต้องการ — เงินเดือนงวดสุดท้ายหลังจากถูกไล่ออก แต่ในหนังเรื่อง Straw – “ฟางเส้นสุดท้าย” ของไทเลอร์ เพอร์รี่ เงินสี่สิบดอลลาร์กลับกลายเป็นด้ายที่ดึงให้ทุกอย่างพังทลาย
นี่ไม่ใช่ไทเลอร์ เพอร์รี่ที่เราคุ้นเคย ที่ทำหนังให้ดูเหมือนหนังสยองขวัญแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าหนังระทึกขวัญธรรมดา โดยมีสังคมอเมริกันเองเป็นตัวร้าย ระบบที่ทำให้เจไนยาห์ล้มเหลวในทุกย่างก้าว ทาราจิ พี. เฮนสัน แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในบทแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เหลือเพียงฟางเส้นสุดท้าย เธอจริงใจ ดิบเถื่อน และน่าจดจำ จนเรารู้สึกถึงความสิ้นหวังของเธอ และเป็นจุดที่เธอเริ่มแตกหักเช่นกัน
เมื่อการปล้นธนาคารปะทุเป็นความรุนแรงเมื่อเจไนยาห์พยายามถอดเงินสดจากเช็ค ทำให้เธอกลายเป็นทั้งผู้รอดชีวิตและผู้ต้องสงสัย สิ่งที่ตามมาคือการพังทลายของจิตใจผ่านระบบราชการสาธารณสุขที่เกี่ยวพันกัน ระบบสวัสดิการเด็ก และจุดบอดของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย หนังเรื่องนี้ไม่เคยผ่อนปรนในเรื่องเหล่านี้ และนั่นคือจุดประสงค์
เชอร์รี เชฟเฟิร์ด เปล่งประกายในบทสมบท “นิโคล” ผู้จัดการธนาคารที่สมจริง ในขณะที่” “ซินแบด” กลับมาอย่างน่ายินดีหลังจากโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มความอบอุ่นเล็กๆที่ไม่คาดคิดให้กับเรื่องนี้ และแน่นอนว่ามีข้อบกพร่องในเรื่องตัวละครบางตัวพัฒนาไม่เต็มที่ จังหวะและความยาวของหนังยืดเยื้อเกินไป แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ในการเดินทางที่ไม่ส่งผลกระทบโดยรวม
ตัวละครของ “เจไนยาห์” ก็ทำให้นึกถึง “ดี-เฟนส์” ในเรื่อง Falling Down (1993) ที่ทั้งคู่ไม่ใช่ตัวร้าย แต่เป็นคนที่ถูกบีบคั้นด้วยน้ำหนักของโลกที่ไม่ยอมรับฟัง แต่ว่า “เจไนยาห์”เธอมีศักดิ์ศรีอย่างเงียบๆ ไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง
การเขียนบทของเพอร์รี่ยังคงมีโทนเมโลดราม่าเป็นครั้งคราว มีจุดโฟกัสและโดนใจทางอารมณ์ นี่คือหนังที่สมจริงและเร่งด่วนที่สุดของเขาในรอบหลายปี เรื่องที่น่าจะจบด้วยการประชาสัมพันธ์เรื่องสุขภาพจิตไว้เป็นข้อความให้ผู้รับชม
สรุปสุดท้าย “Straw – ฟางเส้นสุดท้าย” เป็นหนังที่หัวใจสลาย น่าติดตาม และจำเป็นที่ต้องเข้าใจสาเหตุของความรุนแรง มันเตือนเราว่าบางครั้ง เรื่องราวที่น่ากลัวที่สุดคือเรื่องที่อาจเป็นจริงได้
อยากจะเขียนอะไรก็เขียนอ่ะครับ แต่มีผู้ช่วยเขียนเป็น A.I. หากเขียนผิดหรือตกหล่นไปก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ